อยู่เพื่ออะไร

ให้เอาคําหลวงพ่อมาพิจารณาว่า
เราเกิดมาทําไม เอาย่อๆ ว่าเกิดมาทําไม มีอะไรเอาไปได้ไหม ถามเรื่อยๆ นะ ถ้าใครถามอย่างนี้บ่อยๆ มีปัญญานะ ถ้าใครไม่ถามเจ้าของอย่างนี้ โง่ทั้งนั้นแหละ เข้าใจไหม
๓๓ อยู่เพื่ออะไร
ขอให้ตั้งอยู่ในความสงบ รับโอวาทพอสมควร วันนี้มีทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิตมาถวายดอกไม้ตามกาลเวลา เรื่องสักการะ เรื่องคารวะ การ เคารพต่อผู้ใหญ่เป็นมงคลอันเลิศ พรรษานี้อาตมาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ไม่สบาย สุขภาพไม่แข็งแรง จึงหลบมาอยู่บนภูเขานี้ ก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์ สักพรรษาหนึ่ง ญาติโยมสานุศิษย์ทั้งหลายไปเยี่ยม ก็ไม่ได้สนองศรัทธา อย่างเต็มที่ เพราะว่าเสียงมันจะหมดแล้ว ลมมันก็จะหมดแล้ว นับว่า เป็นบุญที่เป็นตัวเป็นตนมานั่งให้ญาติโยมเห็นอยู่ นี่นับว่าดีแล้ว ต่อไปก็จะ ไม่ได้เห็น ลมมันก็จะหมด เสียงมันก็จะหมด มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ของสังขาร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้ ขะยะวัยยัง คือความสิ้นไป เสื่อมไปของสังขาร

เสื่อมไปอย่างไร เปรียบให้ฟังเหมือนก้อนน้ําแข็ง แต่ก่อนมันเป็นน้ํา เขาเอา มาทําให้เป็นก้อน แต่มันก็อยู่ไม่นานหรอกมันก็เสื่อมไป เอาก้อนน้ําแข็งใหญ่ๆ เท่า เทปนี้ไปวางไว้กลางแจ้ง จะดูความเสื่อมของก้อนน้ําแข็งก็เหมือนสังขารนี้ มันจะ เสื่อมทีละน้อยๆ ไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมงก้อนน้ําแข็งก็จะหมด ละลายเป็นน้ําไป นี่เรียกว่าเป็น ขะยะวัยยัง ความสิ้นไปความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลาย เป็นมานาน แล้ว ตั้งแต่มีโลกขึ้นมา เราเกิดมาเราเก็บเอาสิ่งเหล่านี้มาด้วย ไม่ใช่ว่าเราทิ้งไปไหน พอเกิดเราเก็บเอาความเจ็บ ความแก่ ความตาย มาพร้อมกัน
ดังนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ว่า ขะยะวัยยัง ความ สิ้นไปเสื่อมไปของสังขารทั้งหลาย เรานั่งอยู่บนศาลานี้ทั้งอุบาสกอุบาสิกา ทั้งพระ ทั้งเณรทั้งหมดนี้ มีแต่ก้อนเสื่อมทั้งนั้น นี่ที่ก้อนมันแข็งเปรียบเช่นก้อนน้ําแข็ง แต่ก่อนเป็นน้ํา พอมันเป็นก้อนน้ําแข็งแล้วก็เสื่อมไป เห็นความเสื่อมมันไหม อาการที่มันเสื่อมสิ ร่างกายของเรานี้ ทุกส่วนมันเสื่อม ผมมันก็เสื่อมไป ขนมัน ก็เสื่อมไป เล็บมันก็เสื่อมไป หนังมันก็เสื่อมไป อะไรทุกอย่างมันก็เสื่อมไปทั้งนั้น
ญาติโยมทุกคนเมื่อครั้งแรกคงจะไม่เป็นอย่างนี้นะ คงจะมีตัวเล็กกว่านี้ นี่มันโตขึ้นมา มันเจริญขึ้นมา ต่อไปนี้มันก็จะเสื่อม เสื่อมไปตามธรรมชาติของมัน เสื่อมไปเหมือนก้อนน้ําแข็ง เดี๋ยวก็หมด ก้อนน้ําแข็งมันก็กลายเป็นน้ํา เรานี่ก็ เหมือนกัน ทุกคนมีดิน มีน้ํา มีไฟ มีลม เมื่อมีตัวตนประกอบกันอยู่ ธาตุสี่ ดิน น้ํา ลม ไฟ ตั้งขึ้น เรียกว่าคน แต่เดิมไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรอก เรียกว่าคนเราก็ดีอกดีใจ เป็นคนผู้ชาย เป็นคนผู้หญิง สมมุติชื่อให้นายนั้นนางนี้ตามเรื่องเพื่อเรียกตามภาษา ให้จําง่าย ใช้การงานง่าย แต่ความเป็นจริงก็ไม่มีอะไร มีน้ําหนึ่ง ดินหนึ่ง ลมหนึ่ง ไฟหนึ่ง มาปรุงกันเข้า กลายเป็นรูป เรียกว่าคน
โยมอย่าเพิ่งดีใจนะ ดูไปดูมาก็ไม่มีคนหรอก ที่มันแข้นแข็ง พวกเนื้อ พวกหนัง พวกกระดูกทั้งหลายเหล่านี้เป็นดิน อาการที่มันเหลวๆ ตามสภาพร่างกาย นั้น เราเรียกว่าน้ํา อาการที่มันอบอุ่นอยู่ในร่างกายเราเรียกว่าไฟ อาการที่มันพัดไปมา อยู่ในร่างกายของเรานี้ ลมพัดขึ้นเบื้องบนพัดลงเบื้องต่ํานี้เรียกว่าลม ทั้ง ๔ ประการนี้ มาปรุงกันเข้าเรียกว่าคน ก็ยังเป็นผู้หญิงผู้ชายอีก จึงมีเครื่องหมายตามสมมุติของเรา

 

แต่อยู่ที่วัดป่าพง ที่ไม่เป็นผู้หญิงไม่เป็นผู้ชายก็มี เป็นนะปุงสักลิงค์” ไม่ใช่ อิตถีลิงค์” ไม่ใช่ปุงลิงค์” คือซากศพที่เขาเอาเนื้อเอาหนังออกหมดแล้ว เหลือแต่ โครงกระดูกเท่านั้น เป็นซากโครงกระดูกเขาแขวนไว้ ไปดูก็ไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิง หรือผู้ชาย ใครไปถามว่านี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ได้แต่มองหน้ากัน เพราะมันมีแต่ โครงกระดูกเท่านั้น เนื้อหนังออกหมดแล้ว พวกเราทั้งหลายก็ไม่รู้ ทุกคนไปวัดป่าพง เข้าไปในศาลาก็ไปดูโครงกระดูก บางคนดูไม่ได้ วิ่งออกจากศาลาเลย กลัว…..กลัว เจ้าของ อย่างนั้นเข้าใจว่าไม่เคยเห็นตัวเราเองสักที ไปกลัวกระดูก ไม่นึกถึงคุณค่า ของกระดูก
เราเดินมาจากบ้าน นั่งรถมาจากบ้าน ถ้าไม่มีกระดูกจะเป็นอย่างไร จะเดิน ไปมาได้ไหม เกิดมาพร้อมกัน ไม่เคยเห็นกัน นอนเบาะอันเดียวกัน ไม่เคยเห็นกัน นี่แสดงว่าเราบุญมากที่มาเห็น แก่แล้ว ๕๐ ปี ๖๐ ปี ๗๐ ปี ไปนมัสการวัดป่าพง เห็นโครงกระดูก กลัว นี่อะไรไม่รู้ แสดงว่าเราไม่คุ้นเคยเลย ไม่รู้จักตัวเราเลย กลับไป บ้านก็ยังนอนไม่หลับอยู่ ๓-๔ วัน แต่ก็นอนกับโครงกระดูกนั่นแหละ ไม่ใช่นอน ที่อื่นหรอก ห่มผ้าผืนเดียวกัน อะไรๆ ด้วยกัน นั่งบริโภคข้าวด้วยกัน แต่เราก็กลัว
นี่แสดงว่าเราห่างเหินจากตัวเรามากที่สุด น่าสงสาร ไปดูอย่างอื่น ไปดูต้นไม้ ไปดูวัตถุอื่นๆ ว่าอันนั้นโต อันนี้เล็ก อันนั้นสั้น อันนั้นยาว นี่ไปดูแต่วัตถุของอื่น นอกจากตัวเรา ไม่เคยมองดูตัวเราเลย ถ้าพูดตรงๆ แล้วก็น่าสงสารมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นคนเราจึงขาดที่พึ่ง
อาตมาเคยบวชนาคมาหลายองค์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นาคที่เคยเป็น นักศึกษาคงนึกหัวเราะว่า ท่านอาจารย์เอาอะไรมาสอนนี่ เอาผมที่มันมีอยู่นานแล้ว มาสอน ไม่ต้องสอนแล้ว รู้จักแล้ว เอาของที่รู้จักแล้วมาสอนทําไม นี่คนที่มันมืดมาก มันก็เป็นอย่างนี้ คิดว่าเราเห็นผม อาตมาบอกว่า คําที่ว่าเห็นผมนั้น คือเห็นตามความ
* นะปุงสักลิงค์ = ไม่ใช่เพศชาย ไม่ใช่เพศหญิง
– อิตถีลิงค์ = เพศหญิง
๓ ปุงลิงค์ = เพศชาย

 

เป็นจริง เห็นขนก็เห็นตามความเป็นจริง เห็นเล็บ เห็นหนัง เห็นฟัน ก็เห็นตามความ เป็นจริง จึงเรียกว่าเห็น ไม่ใช่ว่าเห็นอย่างผิวเผิน เห็นตามความเป็นจริงอย่างไร
เราคงจะไม่หมกมุ่นอยู่ในโลกอย่างนี้ ถ้าเห็นตามความจริง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอย่างไรตามความเป็นจริง เป็นอย่างไร เป็นของสวยไหม เป็นของ สะอาดไหม เป็นของมีแก่นสารไหม เป็นของเที่ยงไหม เปล่า….มันไม่มีอะไรหรอก ของไม่สวยแต่เราไปสําคัญว่ามันสวย ของไม่จริงไปสําคัญว่ามันจริง
อย่าง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง คนเราไป ติดอยู่นี่ พระพุทธองค์ท่านยกมาทั้ง ๕ ประการนี้เป็นมูลกรรมฐาน สอนให้รู้จัก กรรมฐานทั้ง ๕ นี้ มันเป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เราเกิดขึ้นมาก็หลงมันซึ่งเป็นของโสโครก ดูซิ คนเราไม่อาบน้ําสัก ๒ วันสิ เข้าใกล้กันได้ไหม มันเหม็น เหงื่อออกมากๆ ไปนั่งทํางานรวมกันอย่างนี้ เหม็นทั้งนั้น แหละ กลับไปบ้านอาบน้ํา ถูสบู่ออกหายเหม็นไปนิดหนึ่ง ก็หอมสบู่ขึ้นมา ได้ถูสบู่ มันก็หอม ไอ้ตัวเหม็นมันก็อยู่อย่างเดิมนั่นแหละ มันยังไม่ปรากฏเท่านั้น กลิ่นสบู่ มันข่มไว้ เมื่อหมดสบู่มันก็เหม็นตามเคย
เรามักจะเห็นรูปที่นั่งอยู่นี่ นึกว่ามันสวย มันงาม มันแน่น มันหนา มันตรึงตา มันไม่แก่ มันไม่เจ็บ มันไม่ตาย หลงเพลิดเพลินอยู่ในสากลโลกนี้ จึงไม่รู้จัก พึ่งตนเอง ตัวที่พึ่งของเราคือใจ ใจของเราเป็นที่พึ่งจริงๆ
ศาลาหลังนี้มันใหญ่ ก็ไม่ใช่ที่พึ่ง มันเป็นที่อาศัยชั่วคราว นกพิราบมันก็มา อาศัยอยู่ ตุ๊กแกมันก็มาอาศัยอยู่ จิ้งเหลนนี้มันก็มาอาศัยอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างมาอาศัย อยู่ได้ เราก็นึกว่าของเรา มันไม่ใช่ของเราหรอก มันอยู่ด้วยกัน หนูมันก็มาอยู่
สารพัดอย่าง
นี่เรียกว่าที่อาศัยชั่วคราว เดี๋ยวก็หนีไป จากไป เราก็นึกว่าอันนี้เป็นที่พึ่งของ เรา คนมีบ้านหลังเล็กๆ ก็เป็นทุกข์เพราะบ้านมันเล็ก มีบ้านหลังใหญ่ๆ ก็เป็นทุกข์ เพราะกวาดไม่ไหว ตอนเช้าก็บ่น ตอนเย็นก็บ่น จับอะไรวางตรงไหนก็ไม่ค่อย ได้เก็บ คุณหญิงคุณนายนี่จึงเป็นโรคประสาทกัน เป็นทุกข์กัน

 

ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงให้หาที่พึ่ง คือหาใจของเรา ใจของเราเป็นสิ่งที่สําคัญ โดยมากคนเราไม่ค่อยมองดูในสิ่งที่สําคัญ ไปมองดูที่อื่นที่ไม่สําคัญ เป็นต้นว่า กวาดบ้าน ล้างจาน ก็มุ่งความสะอาด ล้างถ้วยล้างจานให้มันสะอาด ทุกสิ่งทุกอย่าง มุ่งความสะอาด แต่ใจเจ้าของไม่เคยมุ่งเลย ใจของเรามันเน่า บางทีก็โกรธหน้าบูด หน้าบึงอยู่นั่นแหละ ก็ไปมุ่งแต่จานให้จานมันสะอาด ใจของเราไม่สะอาดเท่าไรก็ ไม่มองดู นี่เราขาดที่พึ่ง เอาแต่ที่อาศัย แต่งบ้านแต่งช่อง แต่งอะไรสารพัดอย่าง แต่ ใจของเราไม่ค่อยจะแต่งกัน ทุกข์ไม่ค่อยจะมองดูมัน
ใจนี่แหละเป็นสิ่งสําคัญ พระพุทธองค์ท่านจึงพูดว่า ให้หาที่พึ่งของใจ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ใครจะเป็นที่พึ่งได้ ที่เป็นที่พึ่งที่แน่นอนก็คือใจของเรานี่เอง ไม่ใช่ สิ่งอื่น พึ่งสิ่งอื่นก็พึ่งได้แต่ไม่ใช่ของที่แน่นอน เราจะพึ่งสิ่งอื่นได้ก็เพราะเราพึ่งตัว ของเรา เราต้องมีที่พึ่งก่อน จะพึ่งอาจารย์ พึ่งญาติมิตรสหายทั้งหลาย จะพึ่งได้ดีนั้น เราต้องทําตัวของเราเป็นที่พึ่งให้ได้เสียก่อน
ดังนั้น วันนี้ที่มากราบนมัสการทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ขอให้รับโอวาทนี้ไป พินิจพิจารณา เราทุกคนให้นึกเสมอว่า เราคืออะไร เราเกิดมาทําไม นี่ถามปัญหา เจ้าของอยู่เสมอว่า เราเกิดมาทําไม ให้ถามเสมอ บางคนไม่รู้นะ แต่อยากได้ความ สุขใจ มันทุกข์ไม่หาย รวยก็ทุกข์ จนก็ทุกข์ เป็นเด็กเป็นคนโตก็ทุกข์ ทุกข์หมด ทุกอย่าง เพราะอะไร เพราะว่ามันขาดปัญญา เป็นคนจนก็ทุกข์เพราะมันจน เป็น คนรวยก็ทุกข์เพราะมันรวยมาก ของมากๆ รักษาคนเดียว
ในสมัยก่อนอาตมาเคยเป็นสามเณร เคยเทศน์ให้โยมฟัง ครูบาอาจารย์ท่าน ให้เทศน์ พูดถึงความร่ํารวยในการมีทาส ให้มีทาสสักร้อย ผู้หญิงก็ให้ได้สักร้อยหนึ่ง ผู้ชายก็ร้อยหนึ่ง มีช้างก็ร้อยหนึ่ง มีวัวก็ร้อยหนึ่ง มีควายก็ร้อยหนึ่ง มีแต่สิ่งละร้อย ทั้งนั้น ญาติโยมได้ฟังแล้วก็สบายใจ ให้โยมไปเลี้ยงควายสักร้อยหนึ่งเอาไหม เอา ควายร้อยหนึ่ง เอาวัวร้อยหนึ่ง มีทาสผู้หญิงผู้ชายอย่างละร้อย ให้โยมรักษาคนเดียว จะดีไหม นี่ไม่คิด ดูแต่ความอยากมีวัว มีควาย มีช้าง มีม้า มีทาส สิ่งละร้อยละร้อย น่าฟัง อุ้ย! อิ่มใจเหลือเกิน มันสบายนะ แต่อาตมาเห็นว่าได้สักห้าสิบตัวก็พอแล้ว แค่ฟันเชือกเท่านั้นก็เต็มที่แล้ว อันนี้โยมไม่คิด คิดแต่ได้ ไม่คิดถึงว่ามันจะยากลําบาก

 

สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเรานี้ ถ้าเราไม่มีปัญญา จะทําให้เราทุกข์นะ ถ้าเรา มีปัญญา นําออกจากทุกข์ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาไม่ใช่ของดีนะ ถ้าเราใจไม่ดี ไปมองคนบางคน ไปเกลียดเขาอีกแล้ว มานอนเป็นทุกข์อีกแล้ว ไปมองดูคนบางคน รักเขาอีกแล้ว รักเป็นทุกข์อีกแล้ว มันไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เกลียดก็เป็นทุกข์ รักก็เป็น ทุกข์ เพราะมันอยากได้ อยากได้ก็เป็นทุกข์ ไม่อยากได้ก็เป็นทุกข์ ของที่ไม่ชอบใจ อยากทิ้งมันไป อยากได้ของที่ชอบใจ ของที่ไม่ชอบใจได้มา มันก็ทุกข์ ของที่ชอบใจ ได้มาแล้ว กลัวมันจะหายอีกแล้ว มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไร บ้านหลัง ใหญ่ๆ ขนาดนี้ ก็นึกว่าจะให้มันสบายขึ้น เก็บความสบายเก็บความดีไว้ในนี้ ถ้าคิดไม่ ดีมันก็ไปไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
ดังนั้น ญาติโยมทั้งหลายจงมองดูตัวของเรา ว่าเราเกิดมาทําไม เราเคยได้ อะไรไว้ไหม อาตมาเคยรวมคนแก่ เอาคนแก่อายุเลย ๘๐ ปีขึ้นไป แล้วมาอยู่รวมกัน อาชีพทํานา ตามบ้านนอกของเราทํานามาตั้งแต่โน้น เกิดมาได้ ๑๗-๑๘ ปี ก็รีบ แต่งงาน กลัวจะไม่รวย ทํางานตั้งแต่เล็กๆ ให้มันรวย ทํานาจน ๗๐ ปีก็มี ๘๐ ปีก็มี ๙๐ ปีก็มี ที่มานั่งรวมกันฟังธรรม
“โยม” อาตมาถาม “โยมจะเอาอะไรไปไหมนี่ เกิดมาก็ทําอยู่จนเดี๋ยวนี้แหละ ผลที่สุดจะไป… จะได้อะไรไปไหม”
ไม่รู้จัก ตอบได้แต่ว่า “จังว่า””
จังว่านี่ตามภาษาเขาว่า กินลูกหว้า เพลินกับลูกหว้า มันจะเสียเวลา เพราะ จังว่านี่แหละ จะไปก็ไม่ไป จะอยู่ก็ไม่อยู่ มันอยู่ที่จังว่า นั่งอยู่ข้างๆ อยู่ง่า นั่งอยู่ คาคบนั่นแล้ว มีแต่จังว่าๆ
“จังว่า” เป็นภาษาอีสาน เป็นคํารับที่แสดงความไม่รู้ หรือความไม่แน่ใจ คล้ายกับภาษกลางว่า “นั่นน่ะซิ”

 

ตอนยังหนุ่มๆ ครั้งแรกอยู่คนเดียว เข้าใจว่าเป็นโสดไม่สบาย หาคู่ครองเรือน มันจะสบาย เลยหาคู่ครองมาครองเรือนให้ เอาของสองอย่างมารวมกันมันก็กระทบ กันอยู่แล้ว อยู่คนเดียวมันเงียบเกินไป ไม่สบาย แล้วเอาคนสองคนมาอยู่ด้วยกัน มันก็กระทบกัน ก๊อกๆ แก๊กๆ นั่นแหละ ลูกเกิดมาครั้งแรกตัวเล็กๆ พ่อแม่ก็ตั้งใจว่า ลูกเราเมื่อมันโตขึ้นมาขนาดหนึ่ง เราก็สบายหรอก ก็เลี้ยงมันไป ๓ คน ๔ คน ๕ คน นึกว่ามันโตเราจะสบาย เมื่อมันโตมาแล้วมันยิ่งหนัก เหมือนกับแบกท่อนไม้ อันหนึ่ง เล็ก อันหนึ่งใหญ่ ทิ้งท่อนเล็กแล้วแบกเอาท่อนใหญ่ นึกว่ามันจะเบาก็ยิ่งหนัก
ลูกเราตอนเด็กๆ มันไม่กวนเท่าไรหรอกโยม มันกวนถามกินข้าวกับกล้วย เมื่อมันโตขึ้นมานี่มันถามเอารถมอเตอร์ไซค์ มันถามเอารถเก๋ง เอาล่ะ ความรักลูก จะปฏิเสธไม่ได้ ก็พยายามหา มันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ให้มันก็เป็นลูก บางทีพ่อแม่ ทะเลาะกัน “อย่าเพิ่งไปซื้อให้มันเลยรถนี่ มันยังไม่มีเงิน” แต่ความรักลูกก็ต้องไปกู้ คนอื่นมา เห็นอะไรก็อยากซื้อมากินแต่ก็อด กลัวมันจะหมดเปลืองหลายอย่าง
ต่อมาก็มีการศึกษาเล่าเรียน “ถ้ามันเรียนจบเราก็จะสบายหรอก” เรียนมันจบ
V
ไม่เป็นหรอก มันจะจบอะไร เรียนไม่มีจบหรอก ทางพุทธศาสนานี่เรียนจบ ศาสตร์ อื่นนอกนั้นมันเรียนต่อไปเรื่อยๆ เรียนไม่จบ เอาไปเอามาก็เลยวุ่นเท่านั้นแหละ บ้านหนึ่งเรียน ๔ คน ๕ คน ตาย! พ่อแม่ทะเลาะกันไม่มีวันเว้นล่ะอย่างนั้น ไอ้ ความทุกข์มันเกิดมาภายหลังเราไม่เห็น นึกว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อมันมาถึงเข้า แล้วจึงรู้ว่า โอ มันเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างนั้นจึงมองเห็นยาก
ทุกข์ในตัวของเรานะโยม พูดตามประสาบ้านนอกเรา เรื่องฟันของเรานะโยม ตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ขี้ถ่านไฟก็ยังเอามาถูฟันให้มันขาว ไปถึงบ้านก็ไปยิงฟันใส่ กระจกนึกว่ามันขาว ถูฟันแล้วนี่ ไปชอบกระดูกของเจ้าของ ไม่รู้เรื่อง พออายุถึง ๕๐-๖๐ ปี ฟันมันโยก เออ เอาซิฟันโยก มันจะร้องไห้ กินข้าวน้ําตามันก็ไหล เหมือน กับถูกศอกถูกเข่าเขาอยู่ทุกเวลา ฟันมันเจ็บมันปวด มันทุกข์มันยากมันลําบาก นี่ อาตมาผ่านมาแล้วเรื่องนี้ ถอนนออกหมดเลย ในปากนี้เป็นฟันปลอมทั้งนั้น มันโยก ไม่สบายอยู่ ๑๖ ๑๖ ซี่ ถอนทีเดียวหมดเลย เจ็บใจมัน หมอไม่กล้าถอนแน่ะตั้ง ๑๖ ซี่

“หมอ ถอนมันเถอะ เป็นตายอาตมาจะรับเอาหรอก” ถอนมันออกทีเดียวพร้อมกัน
๑๖ ซี่ ที่มันยังแน่นๆ ตั้งหลายซี่ ตั้ง ๕ ซี่ ถอนออกเลย แต่ว่าเต็มที่นะ ถอนออก หมดแล้วไม่ได้ฉันข้าวอยู่ ๒-๓ วัน นี่เป็นเรื่องทุกข์
อาตมาคิดแต่ก่อนนะ ตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เอาถ่านไฟมากมันให้ขาว รักมันมากเหลือเกิน นึกว่ามันเป็นของดี ผลที่สุดมันจะหนีจากเรา จึงเกือบตาย เจ็บฟันนี้มาตั้งหลายเดือนหลายปี บางทีมันบวมทั้งข้างล่างข้างบน หมดท่าเลยโยม อันนี้คงจะเจอกันทุกคนหรอก พวกที่ฟันไม่โยก เอาแปรงไปแปรงให้มันสะอาด สวยงามอยู่นั่นแหละ ระวังนะ ระวังมันจะเล่นงานเราเมื่อสุดท้าย ไอ้ยาวสั้นมัน สลับกันอยู่อย่างนี้ ทุกข์มากโยม อันนี้ทุกข์มากจริงๆ
อันนี้บอกไว้หรอก บางทีจะไปเจอเอาทุกข์ เพราะความทุกข์ในตัวของเรานี้ จะหาที่พึ่งอะไรมันไม่มี แต่มันค่อยยังชั่วเมื่อเรายังหนุ่ม พอแก่เข้าก็เริ่มพัง มัน ช่วยกันพัง สังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมัน เราจะร้องไห้มันก็อยู่อย่างนี้ จะดีใจ มันก็อยู่อย่างนี้ เราจะเป็นอะไรมันก็อยู่ของมันอย่างนี้ เราจะเจ็บจะปวดจะเป็นจะตาย มันก็อยู่อย่างนั้น เพราะมันเป็นอย่างนั้น นี่มันหมดความรู้ หมดวิชา เอาหมอฟันมา ดูฟัน ถึงแก้ไขแล้วยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ต่อไปหมอฟันเองก็เป็นเหมือนเราอีก ไปไม่ไหวอีกแล้ว ทุกอย่างมันก็พังไปด้วยกันทั้งหมด นี้เป็นความจําเป็นที่เราจะต้อง
รีบพิจารณา
เมื่อมีกําลังเรี่ยวแรงก็รีบทํา จะทําบุญสุนทาน จะทําอะไรก็รีบจัดทํากัน แต่ว่า คนเราก็มักจะไปมอบให้แต่คนแก่ จะเข้าวัดศึกษาธรรมะรอให้แก่เสียก่อน โยมผู้หญิง ก็เหมือนกัน โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ให้แก่เสียก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าอะไรกัน คนแก่นี่ มันกําลังดีไหม ลองไปวิ่งแข่งกับคนหนุ่มดูซิ ทําไมจะต้องไปมอบให้คนแก่ เหมือน ไม่รู้จักตาย พอแก่มาสัก ๕๐ ปี ๖๐ ปี จวนเข้าวัดอยู่แล้ว หูตึงเสียแล้ว ความจํา ก็ไม่ดีเสียแล้ว นั่งก็ไม่ทน “ยายไปวัดเถอะ” “โอย หูฉันไม่ดีแล้ว” นั่นเห็นไหม ตอนหูดีเอาไปฟังอะไรอยู่ จังว่า….จังว่า…มันคาแต่ลูกหว้าอยู่นั่นแหละ จนหูมันหนวก เสียแล้วจึงไปวัด มันก็ไปได้ นั่งฟังท่านเทศน์ เทศน์อะไรไม่รู้เรื่อง มันหมดแล้ว จึงมาทํากัน

วันนี้คงจะได้ประโยชน์กับบุคคลที่สนใจเป็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ควรเก็บไว้ใน
ใจของเรา สิ่งทั้งหลายนี่เป็นมรดกของเราทั้งนั้น มันจะรวมมา รวมมาให้เราแบก ทั้งนั้นแหละ ขานี้เป็นสิ่งที่วิ่งได้มาแต่ก่อน อย่างขาอาตมานี่จะเดินมันก็หนัก สกนธ์ร่างกายจะต้องแบกมัน แต่ก่อนนั้นมันแบกเรา บัดนี้เราแบกมัน สมัยเป็นเด็ก เห็นคนแก่ๆ ลุกขึ้นก็ “โอ๊ย” นั่งลงก็ “โอ๊ย” มันทุกข์ถึงขนาดนั้นเรายังไม่เห็นโทษมัน เมื่อจะหนีจากมันเราไม่รู้จัก ที่ทําเจ็บทําปวดขึ้นมานี่ เรียกว่าสังขารมันเป็นไปตาม เรื่องของมัน มันเป็นประดง ประดงไฟ ประดงข้อ ประดงงอ ประดงจิปาถะหมด เอายามาใส่ก็ไม่ถูก ผลที่สุดก็พังไปทั้งหมดอีก คือสังขารมันเสื่อม มันเป็นไปตาม สภาพของมัน มันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ฉะนั้น ให้ญาติ พี่น้องให้พากันเห็น ถ้าเห็นแล้วก็จะไม่เป็นอะไร อย่างงูอสรพิษตัวร้ายๆ มันเลื้อยมา เราเห็น เราเห็นมันก่อนก็หนี มันไม่ได้กัดเราหรอก เพราะเราได้ระวังมัน ถ้าเรา ไม่เห็นมัน เดินๆ ไปไม่เห็น ก็ไปเหยียบมัน เดี๋ยวมันก็กัดเลย
ถ้ามันทุกข์แล้วไม่รู้จะไปฟ้องใคร ถ้าทุกข์เกิดขึ้นจะไปแก้ตรงไหน คือ อยาก แต่ว่าไม่ให้มันทุกข์เฉยๆ เท่านั้น อยากไม่ให้มันทุกข์ แต่ไม่รู้จักทางแก้ไขมัน แล้วก็ อยู่ไปอยู่ไปจนถึงวันแก่ วันเจ็บ แล้วก็วันตาย
คนโบราณบางคนเขาว่า เมื่อมันเจ็บมันไข้จวบลมหายใจจะขาด ให้ค่อยๆ เข้าไปกระซิบใกล้หูคนไข้ว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันจะเอาอะไรพุทโธนั่นน่ะ คนที่ ใกล้จะนอนในกองไฟจะรู้จักพุทโธอะไร ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอายุรุ่นๆ ทําไม ไม่เรียนพุทโธให้มันรู้ หายใจติดบ้างไม่ติดบ้าง “แม่ๆ พุทโธ พุทโธ” ว่าให้มันเหนื่อย ทําไม อย่าไปว่าเลย มันหลายเรื่อง เอาได้แค่นั้นก็สบายแล้ว
โยมชอบเอาแต่ต้นกับปลายมัน ตรงกลางไม่เอาหรอก ชอบแต่อย่างนั้น บริวารพวกเราทั้งหลายก็ชอบอย่างนั้น ทั้งญาติโยม ทั้งพระทั้งเณรชอบแต่ทําอย่างนั้น ไม่รู้จักแก้ไขภายในจิตของเจ้าของ ไม่รู้จักที่พึ่ง แล้วก็โกรธง่ายและก็อยากหลายด้วย ทําไม คอ คนที่ไม่มีที่พึ่งทางใจ อยู่เป็นฆราวาส มีอายุ ๒๐-๓๐-๔๐ ปี กําลังแรงดี อยู่ พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายก็พอพูดกันรู้เรื่องกันหน่อย นี่ ๕๐ ปีขึ้นไปแล้ว พูดกัน

 

ไม่รู้เรื่องกันแล้ว เดี๋ยวก็นั่งหันหลังให้กันหรอก แม่บ้านพูดไปพ่อบ้านทนไม่ได้ พ่อบ้านพูดไปแม่บ้านฟังไม่ได้ เลยแยกกัน หันหลังให้กัน คนนั้นพร้อมลูกชายคนนี้ คนนี้พร้อมลูกหญิงคนนั้น เลยแตกกันเลย
เรื่องนี้อาตมาเล่าไปหรอก ไม่เคยมีครอบครัว ทําไมไม่มีครอบครัว คือ อ่าน คําว่า “ครอบครัว” มันก็รู้แล้ว ครอบครัวคืออะไร ครอบมันก็คืออย่างนี้ ถ้าเรานั่ง อยู่เฉยๆ แล้วเอาอะไรมาครอบลงนี้จะเป็นอย่างไร เรานั่งอยู่ไม่มีอะไรมาครอบมันก็ พอทนได้ ถ้าเอาอะไรมาครอบลงก็เรียกว่าครอบแล้ว มันเป็นอย่างไร ครอบก็เป็น อย่างนั้น มันมีวงจํากัดแล้ว ผู้ชายก็อยู่ในวงจํากัด ผู้หญิงก็อยู่ในวงจํากัดแล้ว โอย… หนัก
อาตมาไปอ่านแล้ว ครอบครัว โอย…หนัก ศัพท์ตายนี่คํานี้ ไม่ใช่ศัพท์เล่นๆ ศัพท์ที่ว่า “ครอบ” นี้ ศัพท์ทุกข์ ไปไม่ได้มันมีจํากัดแล้ว ต่อไปอีก “ครัว” ก็หมายถึง การก่อกวนแล้วทิ่มแทงแล้ว โยมผู้หญิงเคยเข้าครัว เคยโขลกพริกคั่ว พริกแห้งไหม ไอ จาม ทั้งบ้านเลย ศัพท์ครอบครัวมันวุ่น ไม่น่าอยู่หรอก อาตามาอาศัยสองศัพท์ นี่แหละจึงบวชไม่สึก
9
ครอบครัวนี่น่ากลัวมาก ขังไว้ จะไปไหนก็ไม่ได้ ลําบากเรื่องลูกบ้าง เรื่องเงิน เรื่องทองบ้าง สารพัดอย่างอยู่ในนั้น ไม่รู้จะไปที่ไหน มันผูกไว้แล้ว ลูกผู้หญิงก็มี ลูกผู้ชายก็มี มันวุ่นวาย เถียงกันอยู่นั่นแหละจนตาย ไม่ต้องไปไหนกันล่ะ เจ็บใจ ขนาดไหนก็ไม่ว่า น้ําตามันไหลออกก็ไหลอยู่นั่นแหละ เออ น้ําตามันไม่หมดนะโยม ครอบครัวนี่นะ ถ้าไม่มีครอบครัวน้ําตามันหมดเป็น ถ้ามีครอบครัวน้ําตามันหมดยาก หมดไม่ได้ โยมเห็นไหม มันบีบออกเหมือนบีบอ้อย ตาแห้งๆ ก็บีบออกให้เป็นน้ํา ไหลออกมา ไม่รู้มันมาจากไหน มันเจ็บใจ แค้นใจ สารพัดอย่าง มันทุกข์ เลย รวมทุกข์บีบออกมาเป็นน้ําทุกข์
อันนี้ให้โยมทั้งหลายเข้าใจ ถ้ายังไม่ผ่าน มันจะผ่านอยู่ข้างหน้า บางคนอาจจะ ผ่านมาบ้างแล้วเล็กๆ น้อยๆ บางคนก็เต็มที่แล้ว “จะอยู่หรือจะไปหนอ” โยมผู้หญิง เคยมาหาหลวงพ่อ “หลวงพ่อ แหม ถ้าดิฉันไม่มีบุตร ดิฉันจะไปแล้ว” “เออ อยู่

 

นั่นแหละ เรียนให้จบเสียก่อน” เรียนตรงนั้น อยากจะไปก็อยากจะไป ไม่อยากจะอยู่ ถึงขนาดนั้นก็ยังหนีไม่ได้
วัดป่าพงสร้างกุฏิเล็กๆ ไว้ตั้ง ๗๐-๘๐ หลัง บางทีจะมีพระเณรมาอยู่ บรรจุ เต็ม บางทีก็มีเหลือ ๒-๓ หลัง อาตมาถามว่า “กุฏิเรายังเหลือว่างไหม” พวกชีบอก “มีบ้าง ๒-๓ หลัง” “เออ เก็บเอาไว้เถอะ บางทีพ่อบ้านเขาแม่บ้านเขาทะเลาะกัน เอาไว้ให้เขามานอนสักหน่อย”
แนะมาแล้ว โยมผู้หญิงสะพายของมาแล้ว ถามว่า “โยมมาจากไหน” “มา กราบหลวงพ่อ ดิฉันเบื่อโลก” “โอย! อย่าว่าเลย อาตมากลัวเหลือเกิน” พอผู้ชาย มาบ้าง ก็เบื่ออีกแล้ว นั่นมาอยู่ ๒-๓ วันก็หายเบื่อไปแล้ว โยมผู้หญิงมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ โยมผู้ชายมาก็เบื่อ โกหกเจ้าของ ไปนั่งอยู่กุฏิเล็กๆ เงียบๆ คิดแล้ว “เมื่อไหร่หนอแม่บ้านจะมาเรียกเรากลับ” “เมื่อไหร่หนอพ่อบ้านจะมาเรียกเรากลับ”
แน่ะ ไม่รู้อะไร มันเบื่ออะไรกัน มันโกรธแล้วมันก็เบื่อแล้วก็กลับอีก เมื่ออยู่ ในบ้านผิดทั้งนั้นล่ะ พ่อบ้านผิดทั้งนั้น แม่บ้านผิดทั้งนั้น มานั่งภาวนาได้ ๓ วัน “เออ! แม่บ้านเขาถูก เรามันผิด” “พ่อบ้านเขาถูก เราผิด” แน่ะ มันจะกลับเปลี่ยน เอาเองของมันอย่างนั้น ก็กลับไปเลยทั้งนั้นแหละ นี้ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะ โลกนี้ อาตมาจึงไม่วุ่นวายอะไรมันมาก รู้ต้นรู้ปลายมันแล้ว ฉะนั้นจึงมาบวชอยู่อย่างนี้
วันนี้ขอฝากให้เป็นการบ้าน เอาไปทําการบ้าน จะทําไร่ ทํานา ทําสวน ให้เอา ค่าหลวงพ่อมาพิจารณาว่า เราเกิดมาทําไม เอาย่อๆ ว่าเกิดมาทําไม มีอะไร เอาไปได้ ไหม ถามเรื่อยๆ นะ ถ้าใครถามอย่างนี้บ่อยๆ มีปัญญานะ ถ้าใครไม่ถามเจ้าของ อย่างนี้ โง่ทั้งนั้นแหละเข้าใจไหม
บางทีฟังธรรมวันนี้แล้วกลับไปถึงบ้าน จะพบเย็นนี้ก็ได้ไม่นานนะ มันเกิดขึ้น ทุกวัน เราฟังธรรมอยู่มันเงียบ บางทีมันรออยู่ที่รถ เมื่อเราขึ้นรถมันก็ขึ้นรถไปด้วย ถึงบ้านมันก็แสดงอาการออกมา อ้อ หลวงพ่อท่านสอนไว้ จริงของท่านล่ะมังนี้ ตา
ไม่ดีไม่เห็นนะ
เอาล่ะวันนี้เทศน์มากก็เหนื่อย นั่งมามากก็เหนื่อยสังขารร่างกายนี้

 

 

บรรยายที่วัดถ้ําาแสงเพชร เดือนกันยายน ๒๕๒๕

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *