ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด

โลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

คําว่า “สัตว์โลก” นี้ไม่ได้หมายถึงสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานก็เป็นสัตว์อย่างหนึ่ง มนุษย์ก็เป็นสัตว์โลกเหมือนกัน สัตว์โลกหมายถึงผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏหรือวัฏสงสาร เป็นภพต่างๆ ที่สัตว์โลก คือดวงวิญญาณหรือดวงจิตไปเกิด ไปเป็นกัน คําว่า “สัตว์” นี้จึงมีความหมายกว้างกว่าคําว่าสัตว์เดรัจฉาน

คนที่ไม่เคยศึกษาธรรมะก็อาจจะไม่เข้าใจ เพราะเวลาพูดถึงสัตว์โลกก็อาจจะคิดถึงสัตว์เดรัจฉานต่างๆ แต่สัตว์โลกในที่นี้หมายถึงดวงวิญญาณทุกดวงที่ไปเกิดเป็นอะไรต่างๆ เป็นสัตว์ชนิดต่าง ๆ เป็นมนุษย์ก็เป็นสัตว์โลกอย่างหนึ่ง เป็นเทวดาก็เป็นสัตว์โลกอย่างหนึ่ง เป็นพรหมก็เป็นสัตว์โลกอย่างหนึ่ง เป็นอสูรกาย เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก นี้ก็เป็นสัตว์โลก อย่างหนึ่งด้วย นี่คือที่เกิดของดวงวิญญาณที่ตายจากร่างกายไป ที่แยกออกจากร่างกายเวลาที่ร่างกายตายไป ดวงวิญญาณเหล่านี้ก็จะไปอยู่ในภพใดภพหนึ่งตามอํานาจของบุญหรือของบาป

โลกของการเวียนว่ายตายเกิดมีแบ่งไว้ ๓ โลก ด้วยกัน เรียกว่า ๓ ภพ “ไตรภพ” ภพของผู้ที่เสพกาม เรียกว่า “กามภพ” ภพของผู้ที่ไม่เสพกาม คือภพของผู้ที่เสพความสงบคือสมาธิในระดับรูปฌานก็เรียกว่า “รูปภพ” ผู้ที่เสพความสงบในระดับอรูปฌานก็เรียกว่า “อรูปภพ” นี่คือที่ไปของดวงวิญญาณของมนุษย์แต่ละคน จะไปอยู่ที่บุญที่ทําไว้ หรือบาปที่ทําเอาไว้ ถ้าทําบาปก็จะไปเกิดในอบายที่เป็นส่วนหนึ่งของกามภพ ถ้าทําบุญก็ไปเกิดเป็นเทวดา ก็ยังอยู่ในกามภพอยู่ แต่กามภพนี้แบ่งเป็น ๒ ซีก ซีกที่มีความสุขกับซีกทีมีความทุกข์

ผู้ที่ไปเกิดในอบายนี้เป็นพวกที่ทําบาป มีความทุกข์ ต้องไปรับทุกข์จากการทําบาป ส่วนพวกที่ไม่ทําบาป ทําแต่บุญ พวกนี้ก็จะไปอยู่ในภพของเทวดา อยู่ในกามภพเหมือนกัน แต่อยู่ในซีกของภพที่มีความสุข คือภพของเทวดา พวกนี้ไม่มีร่างกาย เป็นกายทิพย์ทั้งนั้น เป็นดวงวิญญาณที่มีบุญเป็นผู้ให้ความสุข ถ้าอยู่อบายก็เป็นดวงวิญญาณที่บาปผลิตความทุกข์ให้เสพ

ส่วนพวกที่ไปบวชไปถือศีล ไปฝึกนั่งสมาธิ ถ้านั่งได้สมาธิระดับรูปฌาน เวลาตายไปก็จะไปอยู่ในรูปภพ เรียกว่าสวรรค์ชั้นพรหม เรียกว่า “รูปพรหม” พรหมนี้ มี ๒ ระดับ พรหมที่มีรูปกับพรหมที่ไม่มีรูป อรูปพรหม กับรูปพรหม พวกที่ได้ฌาน รูปฌาน ก็จะไปเกิดในรูปภพ พวกที่ได้อรูปฌานก็ไปเกิดในอรูปภพ แต่ภพเหล่านี้ก็มีวันเสื่อม มีวันหมด พอบุญที่ส่งไปหมดกําลัง ก็จะตกลงมา ตกจากอรูปภพมาสู่รูปภพ จากรูปภพก็ลงมาสู่เทวภพหรือลงมาสู่มนุษยภพ มาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป

ยังไงๆ ก็ต้องกลับมาเริ่มต้นที่ภพของมนุษย์ใหม่ เพราะภพของมนุษย์เป็นภพของผู้ที่สร้างบุญสร้างบาป ส่วนภพอื่นๆ ไม่ใช่เป็นที่สร้างบุญสร้างบาป แต่เป็นที่ไปรับผลบุญผลบาป แล้วก็จะมีการเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

บุญและบาปทำให้มนุษย์นั้นแตกต่างกัน

การเวียนว่ายตายเกิดก็เกิดจากอํานาจของโมหะอวิชชา ความหลง ที่ไปสร้างความอยากให้แก่ดวงวิญญาณ ให้ดวงวิญญาณคือจิตใจนี้ไปหาสิ่งต่างๆ มาเสพมาสัมผัสเพื่อให้เกิดความสุข เพราะไม่รู้ว่าความสุขที่ดี ที่ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดนั้นอยู่ที่ไหน ไปหลงคิดว่าความสุขอยู่ที่การไปเกิดเป็นมนุษย์ ไปเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ เพราะภพของมนุษย์นี้มีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะให้เสพกัน จึงมาเกิดเป็นมนุษย์กัน

แล้วพอมาหาลาภยศสรรเสริญ หารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ก็หาโดยวิธีที่เป็นบาปบ้าง ไม่เป็นบาปบ้าง เพราะบางทีหาโดยวิธีไม่เป็นบาปไม่ได้ ก็เลยต้องหาโดยวิธีที่เป็นบาป เช่น หาเงินทองเพื่อที่จะมาใช้จ่ายซื้อความสุขต่างๆ ถ้าหาแบบไม่ทําบาปแล้ว มันไม่พอใช้ ก็มักจะต้องไปทําบาปกัน เพราะการทําบาปทําให้การหาเงินทองนี้มันง่าย สะดวกรวดเร็วได้มาก แต่ไม่รู้ว่าการทําบาปมีโทษตามมา คือมีอิทธิพลต่อการไปเกิดในภพต่อไป

ในทางตรงกันข้าม บางคนเกิดมาแล้วก็มีความสามารถหรือโชคดี หาเงินหาทองได้มากมายกว่าที่จะใช้เองได้หมด ก็เอาไปแจกจ่ายให้ผู้อื่น อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการทําบุญ การมอบความสุขให้แก่ผู้อื่นด้วยการทําบุญชนิดต่างๆ เช่น ให้เงินให้ทอง แก่โรงเรียน โรงพยาบาล สร้างวัดสร้างวา สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ ทําอะไรที่ทําให้ผู้อื่นมีความสุข ได้รับประโยชน์ ก็เรียกว่าเป็นการทําบุญ

นี่แหละบุญและบาปเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ เกิดขึ้นด้วยการที่เรามีความอยากกัน ความหลงทําให้เรามีความอยากมาหาความสุขในโลกนี้กัน

แต่อย่าไปคิดว่าการมาเกิดนี้มันจะเป็นไปตามที่เราคาดฝันกันทุกครั้ง ไปดูพวกที่ยากจนแร้นแค้นหาเช้ากินค่ำนี่ เขาจะไปหาความสุขจากการหาเงินหาทองได้อย่างไร เกิดมาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เพราะพ่อแม่ไม่มีปัญญาที่จะส่งเสียให้ไปเรียนหนังสือ ให้ไปมีความรู้ความฉลาดเพื่อที่จะได้ไปทํางาน ทําการมีรายได้ดี เพื่อที่จะเอารายได้นี้ไปซื้อความสุขต่างๆ หรือบางคนเกิดมาแล้วต้องเป็น
ขอทานไปตลอดชาติก็มี บางคนเกิดมาแล้วพิการตั้งแต่เกิดก็มี หูหนวกบ้าง ตาบอดบ้าง แขนขาดบ้าง ขาขาดบ้างก็มี เห็นเด็กพิการไหม เห็นเด็กที่พิการทางสมองไหม เห็นเด็กออทิสติกไหม เขาก็อยากจะมาเกิดเหมือนเรา อยากจะมาหาความสุขจากสิ่งต่างๆ ผ่านทางร่างกายเหมือนเรา แต่เขากลับไม่ได้ร่างกายที่เขาต้องการ เพราะเขาไม่รู้ว่านี่มันเป็นผลที่เกิดจากการทําบาปของเขา

การทําบาปนี้นอกจากทําให้เราฝันร้ายแล้ว เวลาเรากลับมาเกิดใหม่เราจะได้ร่างกายที่ไม่ดีนะ ได้ชีวิตที่ไม่ดี ทําบาปแล้วเวลากลับมาเกิดใหม่ มาเกิดแล้วยากจน มาเกิดแล้วพิกลพิการ อาการไม่ครบ ๓๒ มาเกิดแล้วมีโรคภัยไข้เจ็บประจําตัว บางคนมีโรคติดตัวมาตั้งแต่เกิด ยากจนแล้วยิ่งมามีโรคภัยไข้เจ็บ เงินทองที่จะรักษาก็ไม่มี อยู่แบบแร้นแค้น อยู่แบบน่าสมเพช แล้วอาจจะอยู่ได้ไม่นาน ก็จะต้องตายไปก็มี เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดว่าเวลาเราได้กลับมาเกิดใหม่ เราจะได้ร่างกายที่ดีที่สมบูรณ์ที่จะพาเราไปหาความสุขต่างๆ ตามที่เราต้องการได้เสมอไป

การที่เราจะได้ร่างกายที่ดีก็เกิดจากการทําบุญของเราในชาตินี้เอง ถ้าเราทําบุญไม่ทําบาป เวลาเราตายไปเราก็จะฝันดี แล้วพอเราได้ร่างกายอันใหม่ เราก็จะได้ร่างกายที่ดี ร่างกายที่ผิวพรรณผ่องใส มีอาการครบ ๓๒ มีเงินมีทอง เพราะว่าเงินทองที่เราทําตอนที่เรามีชีวิตอยู่ เงินที่เราทําบุญนี้ไม่สูญหายไป มันเป็นเหมือนกับเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารของภพหน้าชาติหน้าเท่านั้นเอง พอเรามาเกิดภพใหม่ เงินทองที่เราฝากไว้ในธนาคารมันก็มารอเราอยู่ เช่น มาเกิดเป็นลูกของคนมีเงินมีทอง ลูกของคนร่ําคนรวย ไม่ต้องมาเกิดเป็นลูกขอทานของคนยากจน เพราะว่า
ชาติก่อนได้ทําบุญ ได้ฝากเงินไว้ในธนาคารบุญนั่นเอง
..
ดังนั้นถ้าเรายังอยากจะกลับมาเกิดอยู่ก็อย่าทําบาป พยายามทําบุญให้มากๆ แล้วตายไปเราก็จะฝันดี แล้วพอ เราเกิดใหม่ เราก็จะได้ร่างกายที่ดี ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ สวยงาม ผิวพรรณผ่องใส ฐานะการเงินการทองที่ร่ํารวย มีสติปัญญาที่แหลมคมที่ฉลาด สามารถเรียนหนังสือ ได้เก่ง เรียนได้สูงๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน มีอายุ ยืนยาวนาน อันนี้เป็นอานิสงส์ของผลบุญที่เราได้ทํากัน ในชาติก่อนๆ

 

การที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น ความทุกข์ที่ทุกคนต้องเจอ นั่นก็คือ ต้องเจอกับภัยธรรมชาติต่าง ๆ ไม่ว่าจะคนรวยคนจนก็ต้องเจอภัย ธรรมชาติเหมือนกัน เช่น ตอนนี้ภัยแล้งภัยร้อน อากาศร้อนนี้ ไม่ว่าจะ เป็นเศรษฐีหรือเป็นคนจนก็ต้องเจอความร้อนเหมือนกัน พระอาทิตย์นี่ ไม่เลือกว่าจะลงโทษแต่คนจน แต่ลงโทษทุกคน แล้วธรรมชาตินี้เขา ไม่เลือกคนรวยคนจน เวลาน้ําท่วม เขาก็ท่วมทั้งหมดทุกบ้าน ไม่ว่าจะ เป็นบ้านคนรวยบ้านคนจน เวลาไฟไหม้มันก็ไหม้หมดทั้งบ้านคนรวย
บ้านคนจน เวลาแผ่นดินไหวมันก็ไหวทั้งหมด นี่คือสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อมาเกิดแล้วก็ต้องเจอ ถึงแม้จะมาเกิดรวยเกิดดี หรือเกิดจนเกิดไม่ดี ก็ต้องเจอภัยธรรมชาติเหมือนกัน แล้วก็เจอภัยจากเชื้อโรคเหมือนกัน เวลามีโรคระบาด มันก็ระบาดไปหมด มันไม่เลือกคนรวยหรือเลือก คนจน เลือกคนดีหรือเลือกคนชั่ว มันระบาดไปเหมือนกันหมด

 

แล้วเวลาเกิดมาก็ต้องมาทุกข์กับการเลี้ยงดูร่างกาย ต้องหายใจทุกเวลาเลย หยุดหายใจไม่ได้ ไม่เหนื่อยบ้าง หรือนี่ ตั้งแต่เกิดมานี่ไม่เคยหยุดหายใจเลย อย่างอื่นยัง หยุดกันบ้าง ทํางานยังมีวันหยุด ทํางาน ๕ วัน เหนื่อยแล้ว ก็อยากจะหยุดบ้าง แต่หายใจนี่หยุดไม่ได้เลย คิดดู ถ้าเรา ขี้เกียจหายใจขึ้นมาเมื่อไหร่เป็นยังไง อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าขี้เกียจ หายใจเหมือนกับขี้เกียจไปทํางานก็ตายเท่านั้นแหละ นี่ก็
คือความทุกข์อย่างหนึ่ง ทุกข์ที่เกิดจากการที่ต้องหายใจ เวลาหายใจเข้าหายใจออก
ตอนนี้เราอาจจะไม่รู้สึกว่ามันเหนื่อย แต่รอตอนที่เราแก่ดูชิ ตอนที่เราเป็นโรคภัยไข้เจ็บนี้ หายใจแต่ละครั้งนี้รู้สึกว่า
มันยากแสนยาก ต้องใช้กําลังมากถึงจะเอาลมเข้าไปได้
ตอนนี้ปอดเรามีกําลังมาก เราจึงไม่รู้สึกเหนื่อย สามารถ
หายใจเข้าหายใจออกได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเราเกิดเป็น
โรคปอดขึ้นมาถึงจะรู้ว่าการหายใจนี้มันยาก คนที่เป็น โรคปอดนี้กว่าจะหายใจได้แต่ละครั้ง มันแสนจะยาก
แสนจะเย็น

 

นี่คือความทุกข์ของการมีร่างกาย ต้องหายใจอยู่ ตลอดเวลา ๑. ต้องมีลมเข้าตลอดเวลา ๒. ต้องมีน้ํา เข้ามาอยู่เรื่อยๆ เห็นไหม เดี๋ยวนี้ทุกคนถือขวดน้า ไปไหนมาไหนกันหมด เดี๋ยวขาดขวดน้ํานี่เป็นยังไง
ถ้าไม่มีนํ้าดื่มตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง
สุขหรือทุกข์
การมาเกิดอย่าไปคิดว่ามันสุขอย่างเดียว การมาเกิด แล้วมันก็ต้องมาเจอทุกข์ เห็นไหม
อย่าไปคิดว่าการมาเกิดมันดี ถึงแม้ว่ามันจะให้เรา ไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายได้ แต่มันนานๆ จะได้สักทีหนึ่ง เช่น อาทิตย์นี้เห็นไหมทํางาน ๕ วัน กว่าจะมีวันหยุดสัก ๒ วัน กว่าจะมีวันหยุดที่เราจะ ไปหาความสุขกัน แต่อีก ๕ วันนี้ เราต้องไปทุกข์ ไปเครียดกับการทํางาน ต้องไปทะเลาะกับคนนั้น ทะเลาะกับคนนี้ ต้องไปแย่งถนนกับคนนั้นคนนี้ เห็นไหม ขับรถบนท้องถนนก็แย่งพื้นที่บนถนนกัน
จอดรถก็แย่งที่จอดรถกัน ต้องไปเครียดกับการ ทํางานทําการอะไรต่างๆ เป็นความทุกข์มากกว่า
ความสุข

 

 

นอกจากความทุกข์แบบนี้แล้ว ยังมีความทุกข์รอเราอยู่ข้างหน้า อีกหลายอย่าง ความทุกข์ที่เกิดจากอุบัติเหตุ อุบัติภัย แล้วยัง ต้องมาทุกข์กับคนอีก คนที่เป็นมิจฉาชีพ คนที่จะคอยปล้น คอยจี้เรา คนที่คอยจะมาทุบมาตีเรา คนที่คอยจะมารังแกเรา มันมีแต่ความทุกข์เต็มไปหมด
แล้วนอกจากนั้นยังมีความทุกข์ที่จะต้องเจอเหมือนกันทุกคน
คือ ต้องเจอความแก่ เจอการเจ็บไข้ได้ป่วย เจอการตาย เจอการ สูญเสีย เจอการพลัดพรากจากกัน ต้องเสียคนที่เรารักไป เสียปู่ย่า ตายาย เสียพ่อเสียแม่ เสียพี่เสียน้อง เสียสามีเสียภรรยา เสียบุตร เสียธิดา เสียหลานเสียเหลน ต้องมีการสูญเสีย มีการพลัดพราก เหมือนกันทุกคนไม่ว่าร่ํารวยหรือว่ายากจน
ดังนั้นความสุขที่ได้จากการมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นความสุข ที่มีความทุกข์ตามมาด้วย เพราะร่างกายที่ใช้เป็นเครื่องมือ หาความสุข ก็จะต้องมีวันแก่ มีวันเจ็บ มีวันตายกัน ถ้าหาความสุข ผ่านทางร่างกายแล้ว มันจะต้องทุกข์ในบั้นปลาย ตอนที่ร่างกาย แข็งแรงก็สามารถหาความสุขต่างๆ ผ่านทางร่างกายได้ แต่พอ ร่างกายเริ่มเข้าสู่วัยชรา เริ่มเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเข้าสู่ความตาย ตอนนั่นก็จะหาความสุขไม่ได้ ก็จะมีแต่ความทุกข์กดดันเหยียบย่ําา จิตใจตลอดเวลา

 

 

ถ้าเราเห็นว่าการเกิด มันทุกข์แบบนี้ สู้อย่ามา เกิดดีกว่า เมื่อเราไม่อยากจะมาเกิด ทีนี้เราก็จะ เริ่มคิดแล้วว่า แล้วจะทําอย่างไรถึงจะไม่มาเกิด เราก็ต้องไปถามพระพุทธเจ้า ถามพระอริยสงฆ์ สาวก เราก็จะได้คําตอบว่า การที่เรามาเกิดก็ เพราะความอยาก ๓ ประการ ความอยากในรูป เสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ความอยากมีอยากเป็น ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น ที่พาให้เราต้องมา เกิดกันอยู่ทุกวันนี้

 

 

ไม่มีใครรู้วิธีที่จะทําให้ออกจากการเวียนว่ายตาย
เกิดนี้ไปได้ จนกว่าจะมีคนฉลาดอย่างพระพุทธเจ้า ได้มาค้นคว้าหาเหตุว่าทําไมถึงต้องมาเกิดกัน

 

ในยุคของพระพุทธเจ้านี้ พระพุทธเจ้าก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเจ้าชาย สิทธัตถะ มาอยู่อย่างสุขอย่างสบายกับพระราชทรัพย์ อยู่กับลาภยศ สรรเสริญ อยู่กับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ตอนต้นก็เพลิดเพลินดี
เพราะไม่เคยเห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็เลยคิดว่าชีวิต
คงจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มีความสุขจากการเสพสัมผัส กับรูปเสียง กลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ อาหารชนิดต่างๆ เครื่องดื่มชนิดต่างๆ เครื่องบันเทิงชนิดต่างๆ ต้องการมีบันเทิงชนิดไหนก็เรียกมาดูได้ ต้องการดูร้องรําทําเพลง ฟ้อนรํา ดูละครดูอะไร ก็สั่งให้เขามาแสดง ให้ดูได้ ก็เลยเพลิดเพลินไป
โดยเฉพาะในวังนี้ก็ไม่มีคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ให้เห็นด้วย เพราะพระราชบิดาห้ามไม่ให้คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เข้าไป ในวัง เพราะกลัวว่าเดี๋ยวเจ้าชายสิทธัตถะเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายแล้ว อาจจะมีความคิดที่จะเปลี่ยนไป คืออาจจะเบื่อ อาจจะกลัว และอาจจะต้องไปอยู่แบบอีกวิธีหนึ่ง คือไปอยู่ แบบไม่มีอะไรก็ได้ ก็เลยห้ามไม่ให้มีคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เข้าไปอยู่ในวัง เพราะพระราชบิดารู้ว่าเจ้าชายสิทธัตถะนี้มี โอกาสที่จะไปบวช มีบารมีที่จะไปบวชได้ แต่ไม่อยากให้บวช

 

 

 

ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเกิดมาใหม่ๆ ได้เรียกเอาโหร ทั้งหลายมาทํานายว่า อนาคตของเจ้าชายสิทธัตถะนี้จะ เป็นอย่างไร โหรก็ทํานายกันไว้ ๒ ทาง ถ้าอยู่เป็นกษัตริย์ ก็จะได้เป็นมหาจักรพรรดิ ถ้าทําสงครามก็จะทําให้มี อาณาจักรใหญ่โต กว้างใหญ่ไพศาล แต่ถ้าไปบวชก็จะ ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระบรมศาสดา อันนี้ก็เลย ทําให้พระราชบิดาต้องหามาตรการป้องกันไม่ให้
เจ้าชายสิทธัตถะไปบวช
คนที่จะไปบวชมักจะเห็นความทุกข์ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นว่าอยู่ต่อไปก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย จะไม่สามารถ หาความสุขให้กับร่างกายได้ ก็จะไปหาอยู่แบบไม่ต้องใช้ ร่างกายดีกว่า ไปอยู่แบบนักบวช ไปหาความสุขจากการทําใจ ให้สงบ พระราชบิดาก็เลยห้ามไม่ให้มีคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เข้าไปในวัง และห้ามไม่ให้เจ้าชายสิทธัตถะออกไปนอกวัง เพราะไม่อยากให้ไปเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย

 

 

เจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นเหมือนเด็กที่เกิดมาไม่รู้ประสีประสา ไม่มีใครสอนเรื่องคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็เลยไม่รู้ว่า ร่างกายของพระองค์จะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เพราะ ไม่เห็นตัวอย่าง แต่ความอยากรู้อยากเห็นว่าโลกภายนอก
พระราชวังเป็นอย่างไร ถึงแม้จะถูกห้ามถูกสั่งไม่ให้ไป แต่ความอยากนี้มันก็ทําให้ดินหาทางไปจนได้ ก็เลยแอบ
ออกไปกับมหาดเล็ก ให้มหาดเล็กพาไป อาจจะปลอมตัวออก ไปก็ได้ เหมือนเรามักจะเคยได้ยินข่าวพระเจ้าแผ่นดินบางที
ความอยากรู้อยากเห็น ทําให้
อยู่ในวังก็เบื่อ บางทีก็ปลอมตัวออกมา มาเดินเที่ยวข้างนอก อยากจะรู้ว่าโลกภายนอกวังเขาเป็นอย่างไรบ้าง อันนี้ก็แบบ เดียวกัน ความอยากของคน ความอยากรู้อยากเห็น ทําให้ คนที่อยู่ในวังก็เหมือนคนติดคุกดีๆ นี่เอง ถึงแม้ว่าจะเป็น กรงทอง แต่มันก็ยังทําให้เกิดอาการอึดอัด ก็เลยต้องแอบ หนีออกมาเที่ยวนอกวัง
พอออกมาก็เลยเห็นของดีเข้า เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ
เห็นคนตาย แล้วก็รู้แล้วว่าต่อไปนี้ร่างกายของตนเองจะ ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย พอรู้แล้ว เห็นสภาพของคนแก่
คนเจ็บ คนตาย ว่ามันมีแต่ความทุกข์ หาความสุขไม่ได้
เวลาแก่ เวลาเจ็บ เวลาตาย ก็เกิดความวิตกว่า อนาคต ของเรามันจะต้องเป็นอย่างนี้เสียแล้ว อนาคตของเรานี้ มีแต่กองทุกข์รอเราอยู่

 

แล้วก็บังเอิญไปเห็นนักบวชเข้า ก็เลยรู้ว่า เป็นพวกที่ไปหาวิธีอยู่แบบไม่ต้องใช้ ร่างกาย วิธีที่ไม่ต้องมีอะไร ถึงแม้ต่อไป
ร่างกายแก่ร่างกายเจ็บ ร่างกายตาย ก็อยู่ แบบไม่ทุกข์ได้ เพราะไม่ต้องใช้ร่างกาย เป็นวิธีหาความสุข

 

 

อันนี้ก็เลยทําให้พระองค์เกิดทางเลือกขึ้นมา ก็ทรงเก็บไว้ในใจอยู่ ตลอดเวลา ความปรารถนาที่จะไปอยู่แบบนักบวช แล้วก็รอโอกาส อันเหมาะ ก็พอดีพระมเหสีจะคลอดลูกออกมา พระองค์ก็เลยรู้ว่า นี่เป็นจุดที่จะต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ดีหรือจะไปตี ถ้าอยู่ก็คงจะไป ไม่ได้ เพราะมีภาระต้องเลี้ยงดูลูกแล้ว ถ้าจะไปก็ต้องไปคืนนั้นเลย ก็เลยตัดสินหนีออกจากวังไปในคืนนั้น ไปตอนดึกๆ ตอนที่คนเขา นอนหลับหมดแล้ว เพราะถ้ามีใครรู้แล้วก็คงจะไปไม่ได้ ไปเหมือน กับนักโทษหนีออกจากคุก ถ้าไปแบบมีคนรู้ เดี๋ยวก็ไปบอกพ่อ เดี๋ยวพ่อก็สั่งเอาทหารมาจับตัวกลับไปอยู่ในวัง ก็เลยต้องหนีออก
ไปในยามวิกาล มีคนสนิทพาไป มหาดเล็กคนสนิทพาไป พอถึง ชายแดนก็ให้มหาดเล็กเอามากลับวังไป เพราะไม่มีความจําเป็น จะต้องใช้ม้าอีกแล้ว ไปอยู่แบบขอทาน อยู่แบบนักบวช
สมัยก่อนนักบวชเขาก็อยู่แบบขอทานดีๆ นี่เอง เพราะไม่ค่อยมีคน ศรัทธากับพวกนักบวชเท่าไหร่ เพราะนักบวชสมัยนั้นเขาไม่ค่อย สอนใคร เพราะเขาไม่มีความรู้ที่จะสอน เขาก็ยังอยู่ในขั้นค้นคว้า ศึกษาทดลอง ทดลองผิดทดลองถูกอยู่ จึงยังไม่มีความสามารถ ที่จะเอาอะไรไปสอนใครได้ ชาวบ้านเขาก็ไม่ศรัทธาอะไรมากมาย แต่สงสารมากกว่า เห็นมาขอทานมีอาหารอะไรก็ให้ไป ไม่ได้เหมือน สมัยนี้ เหมือนพระที่เราไปบิณฑบาตนี้ อันนี้ให้ด้วยศรัทธา ให้ด้วย ความเคารพ แต่สมัยที่พระพุทธเจ้าบวชนี้ เขาให้แบบขอทานจริงๆ

 

 

นี่แหละคือความเด็ดเดี่ยวของผู้ที่ต้องการที่จะค้นหาความสุขที่แท้จริง
ค้นหาสัจธรรมความจริงของชีวิต ว่าความสุขที่แท้จริงนี่มันอยู่ที่ ตรงไหนกันแน่ ก็รู้ว่าการมีอะไรนี้มันเป็นทุกข์ นี่แหละคือความคิดของ พระพุทธเจ้า คิดว่าต่อไปนี้จะอยู่แบบไม่มีอะไร จะได้ไม่ทุกข์ไม่วุ่นวาย เพราะมีอะไรแล้วมันจะต้องหวงต้องห่วง ต้องกังวล จึงไปอยู่แบบไม่มี
อยู่แบบขอทาน

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *