การทําสมาธิ ด้วยการอบรมสติทุกลมหายใจ

โอกาสต่อไปนี้ ขอเชิญท่านทั้งหลายได้ตั้งใจกําหนดจิตฟังธรรม พร้อมกันนั้นก็ถือว่าเราปฏิบัติสมาธิไปด้วย เพราะการทําสมาธิหรือการฝึกสมาธิเป็นการฝึกจิตให้มีสิ่งรู้ ทําสติให้มีสิ่งระลึก เมื่อจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก เราพยายามฝึกอบรมบ่อย ๆ จนทําให้เกิดความคล่องตัว ทําให้ชํานิชํานาญ ถึงขนาดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ แม้ว่าจิตยังไม่สงบเป็นสมาธิ ประกอบด้วยองค์ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ก็ตาม แต่เราจะได้พลังงานทางสติ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงไม่ควรจะมองข้ามวิธีการฝึกสมาธิด้วยการกําหนดจิตทําสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิด ทุกลมหายใจ การฝึกสมาธิด้วยวิธีนี้เป็นการฝึกหัดให้จิตของเรามีสติ สัมปชัญญะ เป็นการฝึกหัดสํารวมระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานคือสติกับสัมปชัญญะ

ถ้าหากสมมุติว่าผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีเวลาจะมานั่งสมาธิ บริกรรมภาวนา หรือเดินจงกรม นอนสีหไสยาสน์ หรือยืนกําหนดจิตตามแบบที่ครูบาอาจารย์ท่านอบรมสั่งสอนมา เราเป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ นักทํางานซึ่งหาเวลาที่จะนั่งสมาธิ เดินจงกรมได้ยาก ถ้าหากสมมุติว่าเราจะมาฝึกทําสมาธิโดยไม่ต้องไปเข้าห้องกรรมฐาน ๗ วัน ๑๕ วัน เพียงแต่มาทําสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิดของเราเท่านั้น โอกาสที่จิตจะสงบตั้งมั่นลงเป็นสมาธิ ซึ่งประกอบด้วยองค์ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตาจะมีได้ไหม ขอรับรองว่ามีได้ถ้าเราตั้งใจฝึกหัดปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะว่าการทําสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิด ถ้าฟังดูกันเผิน ๆ ออกจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อทํากันจริง ๆ แล้ว การนั่งบริกรรมภาวนายังทําง่ายกว่าทําสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิด อุบายนี้เป็นวิธีการสําหรับพิจารณาตัวเอง เมื่อเราได้ตั้งใจทําสติกําหนดตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิดของตัวเองอยู่ทุกลมหายใจ เป็นการเอาใจใส่ตัวเอง เป็นการพิจารณาตัวเอง เราย่อมรู้ตัวเองว่ามีส่วนใดขาด มีส่วนใดเกิน เมื่อสติสัมปชัญญะดีแล้ว เราสามารถที่จะปรับปรุงตัวเองโดยเพิ่มส่วนที่ขาด ตัดทอนสิ่งที่เกินให้อยู่ในระดับพอดี ซึ่งเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา เท่าที่นําวิธีการอันนี้มากล่าว อาศัยเหตุผลและหลักฐานในพระสูตรซึ่งเรียกว่า มหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งพระอาจารย์ผู้รจนาได้บรรยายข้อความที่จะพึงนํามากล่าวว่านักปฏิบัติ ให้กําหนดจิตทําสติรู้การก้าวไป การถอยกลับ การยืน การเดิน การนั่ง การนอน การดื่ม การทํา การพูด การคิด โดยที่สุดแม้คู้แขน เหยียดแขน กระดิกนิ้วมือ กระพริบตา หายใจออก หายใจเข้า ให้ทําสติกําหนดตามรู้ทุกอิริยาบถ ทุกวาระจิต เมื่อเป็นเช่นนั้น วิธีการปฏิบัติด้วยการกําหนดจิตทําสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิด จึงไม่ใช่เรื่องนอกตํารา แต่หากมีคัมภีร์เป็นหลักฐานยืนยัน และมีประสบการณ์

ถ้าสมมุติว่าผู้ไม่เคยนั่งสมาธิ แต่ทําสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิด อยู่ทุกลมหายใจ สมาธิที่แท้จริงจะไปเกิดขึ้นเมื่อไร ส่วนมากผู้ปฏิบัติอย่างนี้สมาธิจะไปเกิดขึ้นเมื่อเวลานอนหลับ โดยวิสัยของผู้ฝึกหัดทําสติตามรู้ดังที่กล่าว เมื่อถึงเวลาพักผ่อน เมื่อนอนลงไปแล้ว เขาก็ยังไม่วายที่จะกําหนดสติตามรู้ความคิด ยึดเอาความคิดเป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ ตามรู้ความคิดของตนเองไปจนกว่าจะนอนหลับ เพราะอาศัยการกำหนดจิตตามรู้ความคิดในขณะที่นอนอยู่นั้นเป็นการทําจิตให้มีสิ่งรู้ ทําสติให้มีสิ่งระลึก เมื่อเกิดมีการนอนหลับลงไปอย่างสนิท จิตของผู้นั้นจะตื่นขึ้นคือมีสมาธิ พอหลับปุ๊บลงไป จิตสว่างโพลงขึ้นมา ปรากฏมีสภาวะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ปรากฏอยู่ในจิต ในบางครั้งจะรู้สึกว่าปัญหาต่าง ๆ ที่ติดค้างอยู่ในตอนกลางวันจะวิ่งเข้าไปเป็นสัญญาอารมณ์ให้จิตหน่วงเหนี่ยวไปค้นคว้าพิจารณาโดยอัตโนมัติ แล้วก็จะได้ความรู้ความเข้าใจแก้ไขปัญหานั้น เปรียบเหมือนกับฝันไป ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ถ้าจิตใจคอยออกไปข้างนอก กระแสจิตจะเลื่อนลอยไปตามจุดต่าง ๆ ซึ่งสุดแท้แต่มโนภาพจะแสดงให้ปรากฏ ถ้าหากว่าจิตไปยึดภาพซึ่งเป็นมโนภาพปรากฏขึ้นนั้น ถ้าเป็นภาพคน ภาพสัตว์ หรือสถานที่ต่าง ๆ จิตก็จะเพลิดเพลินเที่ยวไปกับภาพ นิมิตนั้น ๆ บางทีอาจจะปรากฏเป็นลักษณะเดินเที่ยวชมป่าชมไม้ภูเขาเลากาไป บางทีก็ชมบ้านชมเมือง ซึ่งในช่วงนี้จิตอยู่ในระดับของอุปจารสมาธิ นิมิตอะไรเกิดขึ้น ไม่แตกต่างจากการนอนหลับแล้วฝันไป ถ้าหากว่าผู้ภาวนา มีสติสัมปชัญญะกําหนดจิตรู้อยู่กับสิ่งนั้นเองโดยอัตโนมัติ โดยถือเอาสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ เครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ ก็จะได้ความรู้ความฉลาด เกี่ยวกับภาพนิมิตและความรู้นั้น ๆ อันนี้คือความเป็นไปของจิตในขณะที่จิต ยังไม่สงบถึงขั้นละเอียด

แต่ถ้าจิตสงบถึงขั้นละเอียดจนกระทั่งรู้สึกว่ากายหายไป ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วน ๆ ในบางครั้งจิตอาจจะมาจ้องมองดูกายที่กําลังนอนหลับ รู้เห็นในลักษณะที่ตายไปแล้วร่างกายจะขึ้นอืด เน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป จนไม่มีอะไรเหลือ ในที่สุดจะยังเหลืออยู่แต่จิตดวงเดียวล้วน ๆ มีความสงบลอยเด่น สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา อันนี้จิตอยู่ในลักษณะแห่งอัปปนาสมาธิอย่างละเอียด โดยความเข้าใจของนักปฏิบัติโดยทั่วไป เข้าใจเอาว่าจิตอยู่ในสมถกรรมฐานคืออัปปนาสมาธิ จิตจะสงบนิ่งอย่างละเอียด รู้โดยไม่มีสิ่งรู้ อันนี้ออกจะเป็นความเข้าใจผิด แต่หลักการเดิมและผลปรากฏของนักภาวนาทางฝ่ายฤาษีชีไพร เขามุ่งฝึกหัดจิตให้มีความสงบนิ่งโดยปราศจากอารมณ์ แม้ร่างกายตัวตนก็หายไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหายไปหมด ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวล้วน ๆ อันนี้เป็นการฝึกหัดจิตโน้มน้าวไปในการเดินฌานสมาบัติ ถ้าจิตอยู่ในฌานสมาบัติ จิตจะไม่มีสิ่งรู้ จะมีแต่ความสงบ นิ่ง ว่าง ว่างไปจนกระทั่งมองไม่เห็นอะไร อันนี้เป็นลักษณะของจิตเดินฌาน ฌานอย่างที่ว่านี้เรียกว่า อารัมมณูปนิชฌาน เป็นฌานฤาษี แต่ฌานของพระพุทธเจ้าอาศัยองค์ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เช่นเดียวกันกับฌานฤาษี แต่เมื่อจิตสงบ นิ่ง ว่างลงไปแล้ว ถ้าในระยะใดที่ร่างกายยังปรากฏอยู่ ความรู้สึกนึกคิดของจิตจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ และแล้วสติสัมปชัญญะซึ่งเราอาศัยการฝึกด้วยการตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิดจนจิตคล่องตัว สติตัวนี้จะวิ่งเข้าไปเป็นอุปกรณ์คอยควบคุมจิตให้ดําเนินไปสู่วิถีทางที่ถูกต้อง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ในระดับแห่งอุปจารสมาธิ สติตัวนี้จะบันดาลให้จิตเกิดความรู้ เรียกว่า ธรรมอุทาน บางทีเกิดรู้เป็นภาษาบาลี บางทีเกิดรู้เป็นภาษาไทย บางทีก็เกิดรู้เป็นภาพนิมิตต่าง ๆ บางทีแอบไปรู้จนกระทั่งวาระจิตของคนอื่น บางทีไปรู้จนกระทั่งว่าสิ่งที่ปกปิดซ่อนเร้นอยู่ในที่ลับ เช่น ในใต้ดิน ในถ้ำ หรือในส่วนลึกของแผ่นดิน บางทีสามารถจะรู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งเรื่องอดีต เรื่องอนาคต และเรื่องปัจจุบัน ซึ่งภูมิความรู้ของจิตในขั้นนี้จะบันดาลให้เกิดมีความรู้ผุดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

สมาธิที่มีความสงบนิ่งและมีความรู้เกิดขึ้นอยู่ ความรู้นั้นอาจจะมีสมมติบัญญัติ เป็นภูมิปริยัติที่เกิดขึ้นภายในจิตของผู้ภาวนาในขั้นจิตเดินท่องเที่ยวอยู่ในโลกียวิสัย เพราะถ้าจิตอยู่ในโลกนี้ จิตย่อมเอาโลกนี้เป็นเครื่องรู้ เอาอารมณ์ของโลกนี้เป็นเครื่องรู้ บางทีจิตอาจจะไปเหนี่ยวเอาอารมณ์เรื่องของการบ้านการเรือน หรือวิชาความรู้ หน้าที่การงานมาเป็นเครื่องรู้ค้นคว้าพิจารณาไปเองโดยอัตโนมัติ สติสัมปชัญญะจะทําหน้าที่รู้ความคิดและความรู้นั้น ๆ ตลอดเวลาไม่ว่างเว้น เมื่อจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก ผู้ปฏิบัติมีจิตจดจ้อง กําหนดรู้สิ่งที่เกิดดับกับจิตคือความคิดนั้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ขาดระยะ ในที่สุดจิตจะมีความสงบละเอียดลงไปผ่านขั้นอุปจารสมาธิ แล้วเข้าไปถึงขั้นอัปปนาสมาธิในจุดที่ว่าสงบ นิ่ง ว่าง รู้อยู่ที่จิตอย่างเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีปรากฏการณ์ให้จิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก แต่ความรู้ความเห็นในขั้นนี้ จิตสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น มีอะไรเกิดขึ้นเป็นเครื่องรู้ จิตก็กําหนด รู้เองโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ได้สําคัญมั่นหมายว่าสิ่งรู้นั้นคืออะไร เพียงแต่มีสิ่งสัมผัสรู้ในจิตแล้วก็ปล่อยวางไป ความรู้ที่เป็นสัจจธรรมย่อมอยู่เหนือสมมติบัญญัติ เป็นความรู้ขั้นโลกุตตระซึ่งเป็นความรู้ที่ได้ด้วยความว่าง แม้มีสิ่งรู้ แต่จิตก็มีความว่าง…ว่างโดยปราศจากสัญญาเจตนา ว่างจากสมมติบัญญัติ ว่างจากอัตตาตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตาทั้งสิ้น ยังเหลือแต่กฎธรรมชาติ จิตจะมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เราสมมุติเรียกกันว่าบุญและบาปก็ดี อันนั้นเป็นแต่เพียงสมมติบัญญัติ ในเมื่อรู้ความจริงแล้ว คําว่าบุญ คําว่าบาป ย่อมไม่ปรากฏ ในความรู้สึกของจิตในขณะนั้น แต่จิตจะยอมรับกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาติฝ่ายต่ํามีแต่จะถ่วงดวงจิตให้ลดต่ําลงไป กฎธรรมชาติฝ่ายสูงมีแต่จะพยุงจิตใจให้สูงขึ้นอยู่เหนือระดับโลก จิตจะมีความสงบ สะอาด สว่าง แจ่มใส เบิกบาน ตลอดเวลา นั่นไง พระพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ พุทธะ ผู้ตื่น พุทธะ ผู้เบิกบาน บังเกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนาแล้ว

ในบางครั้งผู้ภาวนาอาจจะมองเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง มีลักษณะเหมือนคลื่นน้ำในทะเล ในบางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองดอดลงไปลอยอยู่ในน้ำทะเลด้วย บางครั้งก็จะรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือน้ำ ในขณะใดที่ตัวเองจมลอยคออยู่ในน้ำ เป็นภาพนิมิตให้ตัวเองปรากฏ จิตของผู้ภาวนาในขั้นนี้อยู่ในระดับแห่งอุปจารสมาธิ เมื่อรู้เห็นอันใด ถ้ามีความสําคัญมั่นหมายยึดว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง บางทีก็รู้สึกว่าตัวเองจมน้ำลงไปใจจะขาด ตกอกตกใจ ทําให้เกิดความอึดอัดภายในความรู้สึก เพราะสมาธิขั้นนี้ยังมีความรู้สึกนึกคิดอย่างละเอียด เมื่อรู้เห็นอันใดแล้วไปยึดในสิ่งนั้น ๆ จิตย่อมปรุงว่าเป็นจริงเป็นจัง กลายเป็นว่าทําให้จิตมีความรู้สึกว่าเรานี่ลอยคออยู่ในน้ำทะเลกันจริง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นในบางครั้งเราอาจจะเกิดความหวาดกลัว เมื่อเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่าอึดอัดรําคาญใจ อยากจะถอนจิตออกจากสมาธิ แต่สมาธิในบางครั้งเราตั้งใจจะถอน จิตจะไม่ยอมถอนเพราะหยั่งลึกลงไปแล้ว เมื่อจิตไม่ยอมถอนจากสมาธิตามความตั้งใจ เราก็เกิดอึดอัดรําคาญ มีท่าทีเหมือนใจจะขาด อันนี้เป็นเหตุการณ์ที่จะพึงเกิดขึ้นในจิตในระดับอุปจารสมาธิ เพราะภูมิจิตในขั้นนี้ยังติดสมมติบัญญัติ เห็นอะไรแล้วยังสมมติบัญญัติส่งนี้ว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นว่าเป็นสิ่งนี้ มีภาษาที่จะพึงพูดอยู่ได้

แต่ถ้าจิตสงบละเอียดลงไปถึงขนาดที่รู้สึกว่าไม่มีร่างกายตัวตน มีแต่ความสงบ นิ่ง ว่าง สว่าง ลอยเด่นเหนือสิ่งทั้งปวง แม้ว่าจิตจะรู้เห็นอันใดขึ้นมา จิตจะมีแต่ความเป็นกลางวางเฉยเฉยโดยไม่มีความรู้สึกนึกคิด คือ ไม่มีความสําคัญมั่นหมายสิ่งรู้ว่าเป็นอะไร แม้ว่าสิ่งรู้นั้นจะมีการสลายตัว เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร จิตก็จะรู้ นิ่ง เฉยอยู่ ไม่มีปฏิกิริยาอาการใด ๆ ทั้งสิ้นมีแต่ดูอยู่ ส่วนจิตก็มีความสงบตั้งมั่น นิ่ง เด่นอยู่ เป็นอิสระแก่ตัวโดยเด็ดขาด ส่วนสิ่งรู้ทั้งหลายก็มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นอยู่ สิ่งรู้เหล่านั้นเกิดมาจากไหน ใครเป็นผู้บันดาลมาให้รู้ให้เห็น ก็จิตตัวรู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมนั่นแหละ ปรุงแต่งที่ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น ย่อมไม่มีความรู้สึกยึดสมมติบัญญัติใด ๆ ความรู้สึกของจิตไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย ส่วนตัวรู้ก็รู้อยู่ สิ่งรู้ก็ปรากฏอยู่ ไม่มีอากาเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งนั้น จิตรู้อยู่เฉย ๆ ไม่แปรปรวนไปตามอาการที่มองเห็นได้ เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างไป มีแต่ดูรู้ อยู่เฉย ๆ จิตเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม ตัวจิตผู้รู้ไม่ได้ปรุงไม่ได้แต่ง แม้จะปรุงแต่งขึ้นมาก็เป็นปัญญาอันละเอียด ไม่มีการยึดในสิ่งที่ตัวเองปรุงแต่ง จึงคล้าย ๆ กับว่าสิ่งรู้กับจิตแยกออกจากกันเป็นคนละส่วน ไม่มีความสัมพันธ์กัน ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า ลักขณูปนิชฌาน จิตอยู่ในฌานเหมือนกัน แต่ มีสิ่งรู้โดยปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลง ถ้าจะเปรียบเทียบกับภาพนิมิต จิตที่รู้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเห็นแน่วแน่ ติดตา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น ตั้งใจดูก็เห็น ไม่ตั้งใจดูก็เห็น เป็นอุคคหนิมิต จิตในขั้นนี้เป็นอารัมมณูปนิชฌาน แต่ถ้าจิตมีพลังเข้มแข็ง สามารถที่จะเปลี่ยนอุคคหนิมิตนั้น ๆ ให้มีการเปลี่ยนแปลงยักย้าย เช่น มีการขยายตัวให้ใหญ่โตขึ้น ย่อตัวให้เล็กลง มีการสลายตัวไปแล้วก่อตัวตั้งขึ้นมาใหม่ มีความเปลี่ยนแปลงยักย้ายอยู่ตลอดเวลา จิตผู้รู้ ก็สงบ นิ่ง เด่น สว่างอยู่ ไม่หวั่นไหวตามอาการนั้น ๆ อันนี้จิตอยู่ในขั้นฌาน แต่เป็นลักขณูปนิชฌาน เพราะจิตเริ่มสําคัญมั่นหมายในความเปลี่ยนแปลงแห่งสภาวะ ซึ่งไปตรงกับคําว่า สพฺเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลาย ทั้งปวงไม่เที่ยง อันนี้เป็นภูมิรู้ภูมิจิตของนักปฏิบัติที่ผ่านขั้นสูงมาแล้ว เมื่อผู้ปฏิบัติออกจากสมาธิในขั้นนี้ มาสัมผัสรู้ว่ามีกาย ความรู้สึกนึกคิดที่มีความสัมพันธ์อารมณ์กับจิตจะปรากฏขึ้น แล้วจิตของผู้นั้นจะมีความคิดอยู่ไม่หยุด ไม่ตั้งใจคิดจิตก็คิด ตัวสติที่ฝึกฝนอบรมดีแล้วจะตามรู้ความคิดตลอดเวลาโดยวิสัยของผู้ภาวนามีภูมิจิตถึงขั้นแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้

หลักฐานในคัมภีร์ก็มีอยู่ว่า ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาย้อนกลับมาอบรมจิต เพราะฉะนั้น เมื่อศีลดีสามารถทําให้สมาธิเป็นสัมมาสมาธิ เมื่อสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ ความรู้คือปัญญาเกิดขึ้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ลักษณะของจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ในเมื่อเกิดความรู้ จิตจะสําคัญมั่นหมายสิ่งรู้ เพียงแค่สัมผัสรู้กับจิตเท่านั้น ถ้าหากมีความรู้ปรากฏขึ้น จิตไปยึดถือ มีปัญหาว่า “นี่คืออะไร” เกิดขึ้น นั่นจิตมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ในตัว จิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิจะต้องสําคัญมั่นหมายในสิ่งรู้เพียงเป็นอารมณ์ของจิตเท่านั้น จะไม่ยึดในอารมณ์นั้น ๆ และจะไม่ยึดความรู้เป็นเกณฑ์ แม้เห็นภาพนิมิต จิตก็กําหนดเพียงแต่ว่านั้นเป็นสิ่งรู้ นิมิตจะเป็นอะไร จิตไม่กังวล ถ้ามีความรู้เกิดขึ้นโดยความนึกคิด จิตจะสําคัญเพียงแต่ว่ามีสิ่งสัมผัสรู้ในจิต ความคิดนั้นจะเป็นอะไรจิตไม่กังวล เพราะภูมิจิตในขั้นนี้มีแต่ความปล่อยวาง เมื่อออกจากสมาธิแล้ว แม้ความรู้จะเกิดขึ้นอยู่ไม่หยุดหย่อน ผู้ภาวนาที่มีภูมิถึงขนาดนี้จะไม่มีความรําคาญ ยิ่งมีความคิดจิตก็ยิ่งผ่องใส ยิ่งคิดจิตก็ยิ่งแจ่มใส ยิ่งคิดจิตก็ยิ่งมีสติสัมปชัญญะ ยิ่งคิดจิตก็ยิ่งบริสุทธิ์สะอาด เพราะปัญญาคือความคิดเป็นอุบายอบรมจิตให้มีความบริสุทธิ์สะอาด เพราะฉะนั้นโอวาทที่พระพุทธองค์ ทรงสั่งสอน ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต ปัญญาก็คือความคิด ความคิดก็คือปัญญา แต่ถ้าจิตมีสติอ่อน พลังของสติตามความคิดความรู้ไม่ทัน ไปเกิดหลงยึดความรู้นั้น ผู้ปฏิบัติก็จะสําคัญมั่นหมายเอาความรู้ซึ่งเป็นภาษาพูดกันได้ว่า เป็นภูมิความรู้ที่เราจะยึดเอาเป็นสาระแก่นสาร ในเมื่อหลงยึดภูมิความรู้ในทางปัญญา เราก็จะมีปัญหาโต้แย้งกัน ถ้าความเห็นของใครไม่ตรงกัน เราก็จะมีการขัดกัน เพราะฉะนั้น ความรู้ความเห็นที่ถูกต้องซึ่งเรียกว่าสัมมาทิฏฐินั้น จิตจะสําคัญมั่นหมายเพียงแค่ว่า จิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก รู้อะไรสักแต่ว่ารู้ รู้แล้วก็ปล่อยวางไป ปัญหาที่คิดว่า “นี่คืออะไร” จะไม่เกิดขึ้น ในลักษณะแห่งความรู้เกิดขึ้น ในบางท่าน ความรู้ที่เกิดขึ้นด้วยสมาธิปัญญาเป็นความรู้ที่ผุดขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะรู้ แต่จิตรู้ขึ้นมาเอง เรียกว่า ธรรมอุทาน บางทีรู้เป็นภาษาไทย บางทีรู้เป็น ภาษาบาลี หรือรู้เป็นภาษาอื่น ๆ ในเมื่อความรู้ผุดขึ้นมาแล้ว ผู้ภาวนาเกิดเอะใจสมาธิถอน พอสมาธิถอนขึ้นมาแล้ว ปัญหาที่ว่า “นี่คืออะไร” ย่อมเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะความอยากรู้อยากเห็น ก็มาใช้สติปัญญาค้นคิด พิจารณาว่า “นี่คืออะไร นี่คืออะไร” ในเมื่อคิดไปตอบไป ถามไปตอบไป ในที่สุดก็เกิดแน่ใจเพียงแค่ความคิด เลยเอาความคิดด้วยสติปัญญามาตอบปัญหาอันเกิดขึ้นด้วยสมาธิปัญญา ท่านผู้ฟังลองคิดดูซิว่า อันหนึ่งเป็นสมาธิ ปัญญาคือปัญญาความรู้เกิดขึ้นจากพลังของสมาธิ และอีกอันหนึ่งเป็นสติปัญญาธรรมดา สติปัญญาหรือจะไปตอบข้อข้องใจสมาธิปัญญาได้ ดังนั้นในแนวทางปฏิบัติเราควรจะทําอย่างไร ในเมื่อจิตรู้อะไรขึ้นมา ถ้าเรามาเกิดเอะใจ แล้วสมาธิถอน ปัญหาที่ว่า “นี่คืออะไร” ย่อมเกิดขึ้น ผู้ภาวนาต้องการจะได้ คําตอบขอได้โปรดอย่าไปตั้งใจคิดหาคําตอบ เพียงแต่กําหนดจิตรู้อยู่ที่จิต แม้ในขณะที่เรากําหนดรู้อยู่ที่จิต แม้ว่าจิตจะมีความว่าง ไม่มีความคิด ก็กําหนดรู้อยู่เพียงความว่าง อย่าไปตั้งใจคิดอะไรขึ้นมาเป็นอันขาด โดยธรรมชาติของจิตจะว่างอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมงเป็นไปไม่ได้ จิตในเมื่อมีความคิด เรากําหนดจะรู้ เขาจะหยุดคิดทันที เมื่อหยุดคิดแล้ว เรากําหนดอยู่ที่ความว่าง ว่างได้สักพักหนึ่ง ความคิดจะเกิดขึ้น เมื่อความคิดเกิดขึ้น เราทําสติตามรู้ความคิด แล้วจิตจะนิ่งว่างไม่มีความคิด เผลอ ๆ จิตจะคิดขึ้นมาอีก เราทําสติตามรู้เรื่อยไปจนกระทั่งความคิด มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย เราทําสติตามรู้ความคิดไปเรื่อย ๆ พอเกิดจิตว่างเมื่อใด ปัญหาที่เราข้องใจว่า “นี่คืออะไร” เราจะได้คําตอบผุดขึ้นมาทันที อันนี้วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับปัญหา หรือคําถามที่เกิดขึ้นภายในจิตขณะภาวนา ดังนั้น การภาวนานี่ หลักสําคัญ อยู่ตรงที่ว่าเราต้องทําจิตให้มีสิ่งรู้ ทําสติให้มีสิ่งระลึก ๆ

เพื่อเป็นการสนับสนุนมตินี้ จะได้อัญเชิญโอวาทของท่านอาจารย์เสาร์มาพูดให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายได้ฟังไว้เป็นคติ ท่านอาจารย์เสาร์ ในวันที่ท่านมีอายุได้ ๘๐ ปีแล้ว มีอยู่วันหนึ่งท่านพูดออกมาว่า “เวลานี้จิตของข้ามันไม่สงบ มีแต่ความคิดไม่หยุด…” ลูกศิษย์ผู้ฟังแล้วไม่เข้าใจก็คิดว่าจิตของอาจารย์เสื่อมแล้ว ทําให้เกิดความสงสัยข้องใจ บางท่านหมดศรัทธาเลื่อมใส ย้ายไปหาครูบาอาจารย์อื่น นี่เพราะความไม่เข้าใจธรรมชาติของจิต ผู้ปฏิบัติที่เดินขั้นวิปัสสนากรรมฐานแล้ว จิตจะมีความคิดอยู่ตลอดวันยังค่ําตลอดคืนยังรุ่ง เป็นไปได้ไหม ถ้าใครปฏิบัติถึงแล้วจะยืนยันทันทีว่าสามารถเป็นไปได้ ผู้ปฏิบัติที่มีสมาธิ มีสติปัญญาดีแล้ว แม้เวลาพักผ่อนหลับนอน ความหลับจะมีอยู่แต่เพียงร่างกายเท่านั้น ส่วนจิตจะเป็นสมาธิ มีความตื่นเบิกบานอยู่ตลอดคืน พอตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกว่าตัวเองนอนไม่หลับ หนัก ๆ เข้า บางคนที่ไม่เข้าใจ สําคัญว่าตนเองจะเป็นโรคประสาท เที่ยวหาหมอตรวจเช็คร่างกายแต่ไม่พบสมุฏฐาน อันนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่นักปฏิบัติจะต้องสังวรระวังไว้ เมื่อเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเราจะได้ไม่ข้องใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฝึกหัดสมาธิแบบทําสติตามรู้จิตและอารมณ์ของตนเองนี่ เมื่อนอนหลับลงไป สมาธิมักจะเกิดขึ้น เมื่อสมาธิเกิดขึ้นในขณะนอนหลับ ถ้าจิตติดสมถะ ก็จะสงบนิ่งสว่างอยู่ตลอดคืน ถ้าจิตเดินวิปัสสนาแล้วจะมีการพิจารณาค้นคว้าอยู่ตลอดคืนเช่นกัน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วผู้ปฏิบัติธรรมนั้นจะรู้สึกว่าไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่หนักเนื้อหนักตัว จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะจิตอยู่ในสมาธิ มีพลังพอที่จะให้กายสงบ จิตสงบ ทําให้กายเบา จิตเบา ตัวของผู้นอนอยู่ในสมาธิเปรียบเหมือนนอนอยู่ในอากาศ ไม่ได้กระทบกับสิ่งใด เพราะในขณะนั้นจิตไม่ได้สําคัญมั่นหมายในร่างกายตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างหายเงียบไปหมด จะมีความรู้สึกแต่ภายในจิตที่สงบอยู่เท่านั้น อันนี้เป็นปัญหาหนึ่งที่นักปฏิบัติควรจะทําความเข้าใจไว้

บางท่านอาจจะสงสัยว่า เมื่อก่อนนี้บริกรรมภาวนาแล้วจิตสงบ สว่าง มีปีติ มีความสุขเป็นอย่างดี แต่เวลานี้ทําไมพอกําหนดจิตลงไปนิดหน่อย จิตมีแต่ความคิด ในเมื่อจิตมีความคิดแล้ว เราก็พยายามจะดึงเอาจิตไว้กับคําบริกรรมภาวนา เมื่อจิตถูกบังคับ จิตก็ยิ่งดิ้นรนแล้วฟุ้งซ่านใหญ่จนทําให้เดือดร้อนไม่สามารถที่จะนั่งสมาธิต่อไปอีกได้ อันนี้ก็เป็นปัญหาที่นักปฏิบัติจะต้องประสบ อันนี้เป็นประสบการณ์ที่เคยผ่านมาแล้ว และนักปฏิบัติหลาย ๆ ท่านได้ผ่านมาแล้ว ซึ่งโดยปกติเมื่อจิตมีความสงบเป็นสมาธิบ่อย ๆ จิตไม่ติดสมาธิ ไม่ติดความสุข หนัก ๆ เข้าพอกําหนดจิตลงไปเพียงนิดหน่อย จิตมีความสงบในขณะที่เริ่มจะเป็นอุปจารสมาธิ จิตจะมีความรู้ผุดขึ้น ๆ ๆ เหมือนน้ำพุที่ไหลออกมาไม่หยุด จิตของผู้ปฏิบัติที่มีสมาธิ มีสติปัญญาดีแล้วย่อมจะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านผู้ปฏิบัติจะปฏิบัติต่อเหตุการณ์เช่นนี้อย่างไร ผู้ปฏิบัติควรทําสติตามรู้ความรู้และความคิดที่ผุดขึ้นนั้นอย่างไม่หยุดโดยถือเอาความรู้ความคิดนั้นเป็นอารมณ์เครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ ในขณะที่จิตคิดไม่หยุดนั้นคือการที่จิตพิจารณาสภาวธรรมเองโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตมีความคิดอยู่ไม่หยุดหย่อน ผู้ภาวนามีสติรู้ความคิดนั้นเองโดยอัตโนมัติ โดยธรรมชาติของจิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อสติสัมปชัญญะดีขึ้น จิตจะสําคัญมั่นหมายในความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์นั้น ๆ จะเกิดอนิจจสัญญา มีความสําคัญว่า อารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตก็รู้ภูมิแห่งวิปัสสนาคือพระไตรลักษณ์ เมื่อจิตมีอารมณ์เครื่องรับรู้ปรากฏการณ์เกิดขึ้นอยู่ไม่ขาดสาย เมื่อสติสัมปชัญญะควบคุมกํากับจิต กําหนดรู้อยู่ตลอดเวลา นอกจากจะรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิตซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลาแล้ว จิตสามารถที่จะรู้ว่าอารมณ์ที่ผ่านเข้ามาหรือความคิดที่เกิดขึ้นนั้นสามารถที่จะทําให้จิตของเราเกิดความยินดียินร้าย เพราะความยึดในอารมณ์นั้น ๆ ในเมื่อความคิดที่เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป ถ้าสติสัมปชัญญะยังดีอยู่จิตมีวิชชารู้แจ้งเห็นจริงในกฎธรรมชาติของความคิดว่าจะต้องมีเกิด-ดับอยู่อย่างนั้น เมื่อจิตรู้แล้ว จิตจะไม่มีความยึด ถ้ายึดเมื่อใด ความยินดียินร้ายก็จะปรากฏขึ้น ความยินดีเรียกว่า อิฏฐารมณ์ ความยินร้ายเรียกว่า อนิฏฐารมณ์ เมื่อจิตเกิดยึดในสิ่งนั้น จิตก็มีภวตัณหาบังเกิดขึ้น เมื่อมีภวตัณหาบังเกิดขึ้น กามตัณหา วิภวตัณหา ก็ย่อมบังเกิดขึ้น ความยินดีเป็นกามตัณหา ความยินร้ายเป็นวิภวตัณหา เมื่อจิตยึดใน ๒ อย่างกลายเป็นภวตัณหา ในเมื่อจิตมีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาพร้อม ทุกข์ย่อมปรากฏขึ้น เพราะความคิดที่เกิดขึ้นดับไปนั้นเองเป็นเหตุให้เราเกิดความรู้สึกยินดียินร้าย เมื่อเป็นเช่นนั้น ความสุขและความทุกข์ย่อมปรากฏขึ้น ถ้าสิ่งใดเป็นที่พอใจก็ยินดี ทําให้มีความสุขใจ แต่ถ้าสิ่งใดเป็นที่ไม่น่าพอใจ เกิดความยินร้าย ทําให้จิตเป็นทุกข์ เพราะไม่พอใจ ความยินดีและความยินร้าย สุขและทุกข์ ทั้งสองอย่างเป็นสัญลักษณ์ให้ผู้ปฏิบัติมองเห็น ทุกขอริยสัจจ์ ปรากฏขึ้นในจิต ทุกข์และสุขที่ปรากฏขึ้นในจิตนั้นเองเป็นทุกขอริยสัจจ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทุกขอริยสัจจ์นี้หมายถึงทุกข์ของผู้ที่มีกายมีใจซึ่งต้องมีการรับรู้ แตกต่างจากทุกข์ในพระไตรลักษณ์ ทุกข์ในอริยสัจจ์หมายถึงทุกข์จิตทุกข์ใจ คือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตอย่างเดียว ส่วนทุกข์ในพระไตรลักษณ์หมายถึงการเปลี่ยนแปลงยักย้ายของสภาวะที่มีการเกิดดับ หรือมีการเกิดขึ้น ทรงตัวอยู่ ดับไปตลอดเวลา ใครจะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม เขาย่อมเป็นไปตามกฎธรรมชาติ เช่น อย่างกลางวันเกิดขึ้น พอตะวันตกกลางคืนก็เกิดขึ้นมีความมืด ความสว่างกับความมืดสลับกันอยู่อย่างนี้ มีความเปลี่ยนแปลงกันโดยวาระลักษณะ อย่างนี้เรียกว่าลักษณะของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กลางวันกลางคืนที่มีอยู่ เป็นอยู่ ใครจะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม เขาก็เป็นของเขาเองโดยกฎธรรมชาติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เราพิจารณาเห็นสังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็เพื่อจะให้จิตรู้กฎของธรรมชาติที่เป็นไปโดยที่ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครมีอํานาจที่จะบังคับบัญชาได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้พิจารณาให้รู้ยิ่งเห็นจริง

ทีนี้กฎธรรมชาติอันนั้นที่เขาเป็นไปตามสภาวะของเขามีความสําคัญอันใดที่จะต้องมาก่อทุกข์ยากให้แก่เรา เพราะอาศัยค่าที่เรายังยึดกายกับใจ เป็นอัตตาตัวตน ดังนั้นสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทั้งปวง เราก็ย่อมยึดว่าเป็นอัตตาตัวตนด้วย เช่น ทรัพย์สมบัติเราก็ยึดว่าเป็นของเรา พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราก็ยึดว่าเป็นทรัพย์สมบัติของเรา ลูกหลานเราก็ยึดว่าเป็นของของเรา ในเมื่อความเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเรายังปรากฏอยู่ เรายังยึดอัตตาตัวตนอยู่ สิ่งใดที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับเรา เมื่อสิ่งนั้นมีอันเปลี่ยนแปลงไป กระทบกระเทือนกับความรู้สึกของเรา เพราะเราไม่ต้องการให้เป็นไปอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ก่อให้เราเกิดทุกข์ใจ ทุกข์ใจที่ปรากฏเพราะไปยึดสิ่งเปลี่ยนแปลงโดยกฎธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นนั้นเองกลายเป็นทุกขอริยสัจจ์ เพราะฉะนั้นการพิจารณาสภาวะทั้งหลายทั้งปวงให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็เพื่อจะให้จิตของเรารู้ซึ้งเห็นจริง คือรู้ว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็ยอมรับและเห็นด้วยกับความรู้ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาจริง ๆ จนกระทั่งฝึกหัดจิตของเราให้ยอมรับในสภาพความเป็นจริงโดยไม่ปฏิเสธกฎธรรมชาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตก็รู้จริงเห็นแจ้ง ยอมรับกฎธรรมชาติ กลายเป็นความเป็นเองโดยธรรมชาติ จิตถอนกิเลส ตัณหาอุปาทานได้โดยเด็ดขาด แม้แต่เบญจขันธ์คือร่างกายจิตก็ไม่ยึดมั่นว่าเป็นอัตตาตัวตน มีแต่อนัตตาทั้งสิ้น แล้วจิตก็ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง เป็น ปหาตัพพธรรม ด้วยประการฉะนี้

วันนี้ได้กล่าวธรรมะพอเป็นคติเตือนใจของท่านผู้ฟังโดยปริยาย ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติกรรมฐานโดยการใช้สติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิด ทุกลมหายใจ บางท่านอาจจะสงสัยในวิธีการกําหนดจิตตามรู้นี้จะทําอย่างไร ในขั้นต้นเมื่อท่านจะลงมือปฏิบัติ ขอให้ท่านกําหนดทําความรู้สึกไว้ที่จิตอย่างเดียว ในเมื่อการทําความรู้สึกไว้ที่จิตอย่างเดียว เมื่อท่านก้าวขาเดินไป ท่านย่อมรู้เพราะจิตเป็นผู้สั่ง เมื่อท่านจะหยุดเดิน จิตย่อมรู้เพราะจิตเป็นผู้สั่ง เมื่อท่านจะนั่ง จิตย่อมรู้เพราะจิตเป็นผู้สั่ง เมื่อท่านจะนอน จิตย่อมรู้เพราะจิตเป็นผู้สั่ง เมื่อท่านจะรับประทาน ดื่ม ทํา พูด คิด จิตย่อมรู้เพราะจิตเป็นผู้สั่ง แม้ว่าท่านนั่งอยู่ในขณะนี้ ยุงบินมาเกาะแล้วก็เสียดแทงผิวหนังท่านเข้าไปแม้ไม่ได้ตั้งใจจะรู้แต่ท่านก็รู้ จิตของท่านก็รู้ เพราะจิตมีหน้าที่รับรู้ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติแบบนี้คือเพียงแต่กําหนดรู้ไว้ที่จิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ร่างกายจะเคลื่อนไหวไปมาอย่างไร จิตย่อมรู้หมด เพราะจิตเป็นผู้สั่งและเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะในกายของเรานี่จิตเป็นใหญ่ มโนปุพพงฺคมา ธมฺมา มโน เสฎฐา มโนมยา : ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สําเร็จแล้วด้วยใจ ดังนั้น จิตต ทนตํ สุขาวหํ การฝึกฝนอบรมจิตด้วยกฎ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยการทําจิตให้มีสิ่งรู้ ทําสติให้มีสิ่งระลึก จึงเป็นไปเพื่อความสงบ จึงเป็นไปเพื่อความมีสติปัญญา เราจะสามารถได้สติปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหาจิตใจ แก้ไขปัญหาชีวิตประจําวัน แก้ไขปัญหาธุรกิจการงานได้ด้วยประการฉะนี้

ในการบรรยายธรรมะพอเป็นคติเตือนใจของท่านผู้ฟัง ก็จึงขอยุติลงด้วยประการฉะนี้

จากหนังสือ ฐานิโยบูชา หน้า ๒๓ – ๓๖

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *